วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2566 กรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภาภายใต้การนำของท่านประธาน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ได้จัดการประชุมประจำวันพุธทุกสัปดาห์โดยพุธนี้ประชุมเกี่ยวกับ 5 โรคมะเร็งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด ผมในฐานะที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เสียดายที่ต้องเดินทางไปร่วมพิธีเปิดศูนย์ส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร และศูนย์ส่องกล้องและหัตถการระบบทางเดินหายใจที่ รพ.สุรินทร์ แต่ผมก็เข้าฟัง Online จนนาทีสุดท้ายที่ต้องปิดโทรศัพท์ เมื่ออยู่บนเครื่องแล้ว แต่ได้ฟังท่าน ผอ.สถาบันโรคมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลว่า 5 โรคมะเร็งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี ปอด เต้านม ปากมดลูก และลำไส้ใหญ่ ฯลฯ ผมเลยถือโอกาสให้ความคิดเห็นแก่ที่ประชุมไปในแง่ของการป้องกันโรค แต่เสียดายที่ผมไม่ได้ฟังจนจบ และที่ไม่ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม อยากเอาเรื่องโรคมะเร็ง 5 อวัยวะนี้มาพูดคุยให้ท่านผู้อ่านรับทราบ ถึงสาเหตุ วิธีป้องกันเป็นหลัก เพื่อท่านจะได้นำความรู้นี้ไปปฏิบัติด้วยการมีพฤติกรรมที่เหมาะสมตั้งแต่บัดนี้ จริงๆ แล้ว อยากเห็นความรู้นี้ ที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคฯลฯ สอนในโรงเรียนทั่วประเทศ ประชาชนทั่วประเทศจะได้มีความรู้ที่สำคัญตั้งแต่ยังเยาว์วัย
วันนี้ผมขอพูดถึงมะเร็งของตับและท่อน้ำดีในตับก่อน เพราะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจากมะเร็งเป็นอันดับที่ 1 ของประเทศไทย
มะเร็งของตับ แบ่งออกได้ง่ายๆ เป็นมะเร็งของเนื้อตับ (hepatoma) ซึ่งมีสาเหตุไม่เหมือนกับมะเร็งของท่อน้ำดี (bile duct) ในตับ มะเร็งของท่อน้ำดีในตับในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากการกินปลาร้า ก้อยปลา ปลาส้ม ที่ดิบ เป็นอาหารที่ทำมาจากปลาน้ำจืด ในต่างประเทศสาเหตุของมะเร็งของท่อน้ำดีไม่เหมือนกับของไทย ฯลฯ
โรคมะเร็งของเนื้อตับ (hepatocellular carcinoma หรือ hepatoma) มีสาเหตุหลักๆ อยู่ 4 ประการ คือ หนึ่ง จากโรคอ้วนสอง จากการดื่มแอลกอฮอล์มากไป สาม จากการมีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B Virus, HBV) และสี่ จากการมีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด ซี (Hepatitis C Virus, HCV)
วันนี้ขอพูดเกี่ยวกับ HBV และ HCV ก่อน แต่ก่อนไปถึงตรงนี้อยากพูดแบบคร่าวๆ ง่ายๆ แบบกำปั้นทุบดิน คือ มะเร็งที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์และจากโรคอ้วน นั่นมาจากพฤติกรรมของเราเองทั้งสิ้นที่ทำมาช้านาน วันหลังผมจะพูดถึง 2 เรื่องนี้ แต่วันนี้ขอพูดเกี่ยวกับ HBV, HCV ก่อน
เชื้อ HBV และ HCV มีการติดต่อได้จากเลือดและผลิตภัณฑ์เลือด (น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำเหลือง ฯลฯ) ของผู้ที่มีเชื้อ วิธีการติด คือ จากแม่สู่ลูกตอนเกิด จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาที่มีเชื้อ เช่น ในกรณีของผู้ที่ใช้เข็มฉีดยาเสพติดร่วมกัน การสักโดยเข็มที่สกปรก การเจาะหู เจาะร่างกายโดยใช้เข็มที่สกปรก ในปี 2019 องค์การอนามัยโลก แจ้งว่ามีผู้ที่มีเชื้อ HBV ถึง 296 ล้าน โดยมีการติดเชื้อใหม่ ปีละ 1.5 ล้านคน ตายปีละ 820,000 คน และมีเชื้อ HCV 58 ล้านคน โดยมีการติดเชื้อใหม่ปีละ 1.5 ล้าน ตายปีละ 290,000 คน (ปี ค.ศ. 2019)
การติดเชื้อและวิธีการติดเชื้อของ HBV และ HCV เหมือนกันแต่แตกต่างกันที่ปริมาณ กล่าวคือ ถ้าแม่มีเชื้อ HBV ตอนคลอด จะถ่ายทอดเชื้อให้ลูกได้ถึง 90% ส่วน HCV ถึงแม้มีเชื้อ แต่จะแพร่เชื้อให้ลูกได้ไม่เกิน 10% ส่วนการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อ B จะถ่ายทอดได้มากกว่าเชื้อ C ปัจจุบันนี้การติดเชื้อ C มักมาจากการใช้เข็มฉีดยาที่สกปรก ในบางประเทศยังมีการใช้เข็ม หลอดฉีดยาที่ใช้แล้วใช้อีก ซึ่งถ้าทำความสะอาดไม่ดีพอ จะสามารถแพร่เชื้อได้
แต่ข้อดีคือ ถึงแม้แม่ที่มีเชื้อ HBV และจะแพร่เชื้อให้ลูกได้ถึง 90% แต่ประเทศไทยตั้งแต่ 2535 ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HBVแต่ต้องฉีดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด และควรฉีด 3 เข็มองค์การอนามัยโลกแจ้งว่าไม่จำเป็นต้องฉีด booster dose หลังเข็ม 3
และก็โชคดีที่ HCV ถึงแม้ไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่แม่ที่มีเชื้อ HCV สามารถแพร่เชื้อให้ลูกได้ไม่เกิน 10% และข้อดีของ HCV อีกอย่างคือ ปัจจุบันนี้มียากินที่สามารถรักษาโรค HCVให้หายขาดได้ถึง 95% ด้วยการรักษาเพียง 3-6 เดือน
ส่วน HBV การรักษายังไม่ดีเท่าการรักษา HCV กล่าวคือรักษาหายขาดได้ประมาณ 40-50% แต่ก็ยังสามารถชะลอโรคตับได้ ลดโอกาสเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ ก็หวังว่าถ้าประชาชนชาวโลกจะฉีดวัคซีนป้องกัน HBV ทุกๆ คน โรค HBV จะค่อยๆ หายหมดไปจากโลกนี้
WHO มีเป้าหมายที่จะกำจัด Viral Hepatitis ไปจากโลกนี้ภายใน 2030 คำนิยามของการจำกัด คือ ลดอัตราการติดเชื้อลง 90% ลดอัตราการตายลง 65%
ด้วยเหตุนี้เอง WHO จึงได้กำหนดให้มีวัน World Hepatitis Day คือ ทุก 28 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนไปตรวจเลือดดูว่ามีเชื้อ HBV, HCV หรือไม่ ถ้ามี ต้องไปพบแพทย์เพื่อพิจารณาว่าต้องรักษาหรือไม่ (ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าเกณฑ์ที่จะต้องรักษา)
ผมเองมีความเห็นว่าปัจจุบันนี้เราเองไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นโรคมะเร็งของเนื้อตับเลย ถ้าเรามีความรู้ มีวินัย และสามารถเข้าการบริการของระบบสาธารณสุขไทยทุกๆ คน เช่น การตรวจหาเชื้อ HBV, HCV ฟรีได้ในทุกๆ คน ผมจึงอยากให้สปสช. ประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ฯลฯ ถ้ายังไม่ให้สิทธิ์ประชาชนตรวจคัดกรองหาเชื้อ HBV, HCV โปรดกรุณาพิจารณาดำเนินการด้วย และอยากรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ HBV ในเด็กแรกเกิดทุกคน ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดรวมทั้งปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่า ถ้าคุณแม่มีเชื้อ HBV ในบางกรณี นอกจากการฉีดวัคซีน ป้องกัน HBV แล้ว ต้องให้ยาอื่นๆ ไหม เช่น Immunoglobulin (HBIG) และหรือยาที่แม่หรือลูกช่วงเกิดควรจะได้ ฯลฯ
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี