ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นอกจากโควิด-19 ที่เรารู้จักกันมากขึ้นและรู้จักกันดีแล้ว ก็ยังมีโรคใหม่ที่ทำให้เราตื่นตระหนกอีกโรคหนึ่ง นั่นคือ “โรคฝีดาษวานร” (monkeypox) โรคฝีดาษวานร เป็นโรคที่เกิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว พบครั้งแรกที่ประเทศคองโก ติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยมีลิงและสัตว์ฟันแทะเป็นสัตว์พาหะนำเชื้อ ส่วนโควิด-19 เป็นโรคที่เกิดใหม่ราว 2-3 ปีพบการระบาดครั้งแรกในประเทศจีน เป็นโรคที่มีที่มาจากสัตว์เช่นกัน ซึ่งคาดว่าคนรับเชื้อมาจากค้างคาวหรือตัวนิ่ม ทั้ง 2 โรคเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยโรคฝีดาษวานรเกิดจากไวรัสชนิดดีเอ็นเอ ส่วนโควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ
สำหรับการติดต่อนั้น โรคฝีดาษวานรเริ่มจากคนรับเชื้อมาจากสัตว์ก่อน แล้วติดต่อกันจากคนสู่คนอีกที โดยการสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจของคนที่ป่วย หรือสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าปูที่นอน หรือรอยโรคที่ผิวหนัง เช่น ผื่นที่ผิวหนัง เชื้อจะเข้าสู่ทางผิวหนังที่มีแผล เข้าทางเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และการสูดดม การติดต่อกันระหว่างคนสู่คนของโรคฝีดาษวานรเกิดขึ้นได้ยากกว่า เพราะต้องมีการสัมผัสใกล้ชิดเป็นระยะเวลานาน ชนิดหน้าแนบหน้าหรือเนื้อแนบเนื้อ การแพร่กระจายทางอากาศมีความเป็นไปได้น้อย ส่วนโควิด-19 จะมีการติดต่อได้ง่ายกว่า และผู้ที่เป็นโควิด-19 อาจแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ก่อนมีอาการ
ระยะเวลาฟักตัวของโรคฝีดาษวานร (ช่วงเวลาตั้งแต่ได้รับเชื้อจนมีอาการ) นานกว่าโควิด-19โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 6-13 วัน แต่ก็อาจอยู่ที่ 5-21 วัน ส่วนโควิด-19 จะมีระยะเวลาอยู่ที่ 2-4 วันซึ่งสั้นกว่ามาก การวินิจฉัยทั้ง 2 โรคทำได้โดยการตรวจด้วยวิธี PCR สำหรับโรคฝีดาษวานร แพทย์จะส่งน้ำหรือหนอง และเปลือกที่คลุมผื่นตรวจ PCR ไม่ได้แยงจมูก โรคฝีดาษวานรนั้นยังไม่มีชุดตรวจด้วยตัวเองหรือ ATK (antigen testkit) ในขณะที่โควิด-19 มีชุดตรวจด้วยตัวเองแล้ว
ทั้งโรคฝีดาษวานรและโควิด-19 เป็นโรคที่หายได้เอง แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณไวรัสที่ได้รับ โรคประจำตัว รวมทั้งลักษณะของภาวะแทรกซ้อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ส่วนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในขณะนี้มีชนิดเดียวชื่อ tecovirimat ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาโรคฝีดาษ และได้รับอนุมัติให้ใช้รักษาโรคฝีดาษวานรโดยสมาคมการแพทย์แห่งยุโรป แต่ยังไม่มีใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป และยังต้องมีการติดตามตรวจสอบผลการรักษาจากที่มีการเก็บข้อมูลเพื่อติดตามผลในอนาคต ส่วนการรักษาโควิด-19 ก็มีการพัฒนายาต้านไวรัสอยู่เรื่อยๆ จึงมีทางเลือกในการรักษามากยิ่งขึ้น
วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ร้อยละ 85 นอกจากนี้ยังมีวัคซีนรุ่นใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับป้องกันโรคฝีดาษวานรโดยเฉพาะ แต่เนื่องด้วยวัคซีนที่มีจำนวนอยู่อย่างจำกัด และเมื่อคำนึงถึงกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคและความรุนแรงของโรคแล้วนั้นคำแนะนำในการฉีดวัคซีนนี้ จะไม่เหมือนคำแนะนำในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่แนะนำว่าทุกคนควรได้รับ วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานร จะเป็นวัคซีนเฉพาะกลุ่มที่ใช้สำหรับการป้องกันในกลุ่มเสี่ยงก่อนที่จะได้รับเชื้อ ได้แก่ แพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วยและบุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการ อีกข้อบ่งชี้หนึ่งของวัคซีนโรคฝีดาษวานร คือ การป้องกันหลังได้รับเชื้อ โดยให้วัคซีนภายใน 4 วันหลังจากสัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรค
การป้องกันการติดต่อจากคนสู่คนด้วยวิธีอื่นๆ ของทั้งโรคฝีดาษวานรและโควิด-19 มีความคล้ายกันคือ หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ติดเชื้อและผู้ที่มีความเสี่ยงติด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างและหมั่นล้างมือบ่อยๆ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือคำแนะนำในการงดมีเพศสัมพันธ์สำหรับโรคฝีดาษวานร ถึงแม้ว่ายังไม่แน่ชัดว่าโรคฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่ และการสวมถุงยางอนามัยไม่ได้เป็นการป้องกันโรคฝีดาษวานร แต่การมีเพศสัมพันธ์เป็นกิจกรรมที่มีการใกล้ชิดกันเป็นอย่างมาก ถือเป็นความเสี่ยงของการเป็นฝีดาษวานรได้
โดยสรุป โรคฝีดาษวานรและโควิด-19 มีความแตกต่างกันพอสมควร การทราบถึงความแตกต่างนี้ จะทำให้รู้จักโรคและการป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกตื่นกลัวจนเกินไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี