ช่วงนี้มีข่าวการแพร่ระบาดโรคแอนแทรกซ์ในประเทศไทย จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ข่าวนี้สร้างความแตกตื่นให้คนในสังคมไทยมากพอประมาณ ดังนั้น สัปดาห์นี้ เรามาทำความรู้จักโรคแอนแทรกซ์กัน
โรคแอนแทรกซ์ หรือโรคกาลี เป็นโรคติดต่อร้ายแรง เป็นโรคสัตว์ที่ติดสู่คน เกิดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค กระบือ แพะ แกะ และคน
ชื่อเชื้อ Bacillus Anthracis ลักษณะทั่วไปของเชื้อตัวนี้คือแบคทีเรียแกรมบวกรูปแท่ง สร้างสปอร์ได้ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม สปอร์มีความทนทานสูง สามารถอยู่ในดินหรือซากสัตว์ได้นานหลายสิบปี
เชื้อผลิตสารพิษหลัก 3 ชนิด ได้แก่ Protective Antigen (PA), Edema Factor (EF) และ Lethal Factor (LF) ซึ่งรวมเป็น Anthrax Toxin ทำลายเซลล์และยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน
ระบาดวิทยาโรคนี้พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งร้อน เช่น แอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักเกิดการระบาดในสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ แกะ ม้า สัตว์ติดเชื้อจากการกินหญ้าหรือดินที่มีสปอร์ปนเปื้อน
การติดเชื้อในคน ได้ 3 ทางหลัก ได้แก่
1. ทางผิวหนัง (Cutaneous Anthrax) – พบมากที่สุด (ประมาณ 95 %) มีลักษณะตุ่มนูนพอง กลายเป็นแผลดำตรงกลาง
2. ทางหายใจ (Inhalation Anthrax) – อันตรายที่สุด พบในผู้สูดดมสปอร์ อัตราตายสูง ถ้าไม่ได้รักษาทันท่วงที
3. ทางอาหาร (Gastrointestinal Anthrax) – เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีเชื้อปนเปื้อน
การวินิจฉัยโรค อาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การย้อมแกรม การเพาะเชื้อ PCR หรือ immunoassays สามารถตรวจในเลือด น้ำเหลือง หรือสารคัดหลั่งจากแผล
การรักษา ยาหลักได้แก่ Penicillin G, Ciprofloxacin และ Doxycycline แต่ต้องให้ยาโดยเร็ว โดยเฉพาะในกรณี systemic/inhalation anthrax ต้องให้ยาร่วมกับ Anthrax Immune Globulin (AIG) ในบางราย
การป้องกันและควบคุมโรค
• ฉีดวัคซีนสัตว์ (live spore vaccine) ในพื้นที่เสี่ยง
• ควบคุมและทำลายซากสัตว์อย่างถูกวิธี เช่น ฝังในลึกมาก ๆ หรือเผา
• วัคซีนสำหรับคนใช้ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เจ้าหน้าที่ห้อง Lab ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อ และผู้ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์
• รายงานและกักกันโรคตามระบบเฝ้าระวังของกระทรวงสาธารณสุข หรือองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WHO และ FAO
โรคแอนแทรกซ์ยังติดต่อไปถึงสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว แต่พบได้น้อยกว่าสัตว์กินพืชอย่างวัว ควาย แพะ หรือแกะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไวต่อเชื้อมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในทางสัตวแพทย์ มีบันทึกกรณีติดเชื้อในสุนัขและแมว โดยเฉพาะกรณีสัตว์เลี้ยงสัมผัสซากสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือกินเนื้อสัตว์ติดเชื้อที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับการติดเชื้อในสุนัขและแมว
• ไวต่อเชื้อน้อย (Relatively Resistant) ตาม Merck Veterinary Manual สุนัขและแมว มีความไวต่อเชื้อ Bacillus anthracis ต่ำกว่าสัตว์กินพืช การติดเชื้อในสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ มักไม่พบในธรรมชาติบ่อยนัก และมักเกิดจากการบริโภคซากสัตว์ติดเชื้อ
• การติดเชื้อเกิดจาก การกินซากสัตว์ หรือเนื้อดิบที่มีเชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่เกิดการระบาด
การติดเชื้อสามารถเกิดที่ระบบทางเดินอาหาร หรือระบบทางเดินหายใจ หากสัมผัสหรือสูดดมสปอร์โดยตรง
• อาการในสัตว์เลี้ยง มีรายงานสัตว์เลี้ยงแสดงอาการเช่น ไข้สูง อาเจียน เลือดออกจากช่องปาก จมูก หรือทวาร อาจเกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือภาวะเลือดเป็นพิษได้หากเชื้อลุกลาม
• การวินิจฉัยและรักษาในสัตวแพทย์ ใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ย้อมแกรม หรือเพาะเชื้อจากเลือด เนื้อเยื่อ รักษาด้วยยาปฏิชีวนะเช่น penicillin, ciprofloxacin หรือ doxycycline เหมือนในคน
การรักษาจะมีประสิทธิภาพมากหากเริ่มการรักษาเร็ว แต่เนื่องจากโรคดำเนินรวดเร็วมาก การพลาดการวินิจฉัยจึงอาจนำไปสู่การตายโดยเฉียบพลัน
มาตรการป้องกันสำหรับสัตว์เลี้ยง
• ป้องกันสัตว์เลี้ยงสัมผัสซากสัตว์ตาย หรือเนื้อดิบ โดยไม่ทราบแหล่งที่มา
• ในพื้นที่ที่มีการระบาด ควรเฝ้าระวังและหลีกเลี่ยงการพาสัตว์ไปในเขตต้องสงสัย
• ยังไม่มีวัคซีนสำหรับสุนัขหรือแมวโดยเฉพาะ เพราะไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงหลัก
โดยสรุป สุนัขและแมวมีความไวต่อเชื้อ Bacillus anthracis ต่ำ แต่ก็ติดเชื้อได้ โดยผ่านการกินหรือสัมผัสซากสัตว์หรือเนื้อที่มีเชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ระบาด
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการควบคุมการเข้าถึงแหล่งเนื้อดิบ และเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา สำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรติดตามข่าวสารการระบาดของโรคอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงติดเชื้อโรคนี้
น.สพ. นนทษิต ชุติญาณวัฒน์
โรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี