ภูมิแพ้ขึ้นตาคืออะไร และ มีอาการอย่างไรบ้าง
- โรคภูมิแพ้ขึ้นตาหรืออีกชื่อคือโรคเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากภูมแพ้ เกิดจากเยื่อบุตาขาวมีการสัมผัสกับสารก่อการแพ้ เช่น ไรฝุ่น, เกสรดอกไม้, ขนสัตว์ (แมว, สุนัข) ซึ่งสารเหล่านี้จะกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดที่อยู่ตามเยื่อบุตาหลั่งสารกระตุ้นที่ชื่อว่า ฮีสตามีน (Histamine)
- ฮีสตามีน (Histamine) จะกระตุ้นให้เกิดอาการคันตา ร่วมกับมีตาแดง น้ำตาไหล หากอาการเป็นมากอาจมีตาแพ้แสง มีขี้ตาสีขาวเหนียว เปลือกตาอาจมีการบวมแดง เยื่อบุตาขาวอาจบวม และมีลักษณะคล้ายวุ้นได้ อาจมีการระบบอื่นร่วมเช่น คันผิวหนัง ไอจาม และน้ำมูกไหลร่วมได้ด้วย
- หากเป็นเรื้อรังอาจมีผลเสียของการขยี้ตาเกิดขึ้นดังนี้
- ผิวรอบดวงตาเป็นสีดำ
- อาจเกิดภาวะหนังตาตกได้จากการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อรอบดวงตาซ้ำๆจากการขยี้ตา
- เกิดภาวะกระจกตาโก่งย้วยได้
ภูมิแพ้ขึ้นตาสามารถพบได้ในกลุ่มประชากรใด ช่วงอายุไหน ที่พบได้บ่อย
- สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่มักจะพบได้ในเด็กช่วงอายุ 5-10 ขวบ บ่อยกว่าช่วงอายุอื่นๆ
ภูมิแพ้ขึ้นตามีกี่ชนิด และมีลักษณะอย่างไรบ้าง
- ชนิดเฉียบพลัน (พบได้บ่อย) เกิดจากการที่มีสารก่อภูมิแพ้มากระตุ้นและก่อให้เกิดอาการทางตาขึ้นมาทันที เช่นสัมผัสไรฝุ่นแล้วมีอาการคันตา ตาแดง โดยชนิดเฉียบพลันสามารถแบ่งได้ 2ชนิดคือ
- ชนิดที่เป็นตามฤดูกาล เช่นช่วงฤดุใบไม้ผลิ ช่วงที่มีอากาศร้อน หรืออากาศแห้งก็สามารถกระตุ้นให้มีอาการกำเริบขึ้นมาได้ บางคนมีอาการช่วงที่มีการสัมผัสเกสรดอกไม้ ซึ่งมักเป็นตามฤดูกาล
- ชนิดที่เป็นๆหายๆ มีอาการตลอดทั้งปี มีช่วงที่มีการกระตุ้นขึ้นมาทีก็มีอาการ และมีช่วงที่อาการสงบไปเป็นบางช่วง
- ชนิดเรื้อรัง มักมีความรุนแรง และรักษาได้ยากกว่า มีช่วงที่อาการดีสลับกับอาการแย่ลง ผู้ป่วยในกลุ่มนี้มักมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น คือมีกระจกตาที่ผิดปกติร่วมด้วย ซึ่งการรักษาจะมีความซับซ้อนมากกว่าชนิดฉับพลัน
สารก่อภูมิแพ้ที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ขึ้นตามีอะไรบ้าง และสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสได้อย่างไรบ้าง
- สารที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ในแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันตามบุคคล สำหรับสารที่พบว่าก่อภูมิแพ้ได้บ่อยคือ ไรฝุ่น ขนสัตว์จำพวกขนแมว ขนสุนัข เกสรดอกไม้ และ สารในน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ อย่างไรก็ตามประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีภูมิแพ้ขึ้นตาไม่สามารถหาสารที่เป็นปัจจัยกระตุ้นได้พบ
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ขึ้นตาทำได้อย่างไร
- แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลัก
- จากประวัติ เริ่มจากการมีอาการตาแดง คันตา น้ำตาไหล อาจมีขี้ตาสีขาวร่วมด้วย และมีประวัติสัมผัสสารก่อภูมิแพ้
- จากการตรวจร่างกาย จะพบลักษณะที่บ่งบอกว่ามีภูมิแพ้เกิดขึ้น เช่นเยื่อบุตาขาวมีสีแดงมากขึ้น หรือมีลักษณะเฉพาะที่สัมพันธ์กับภูมิแพ้ขึ้นตา ในกรณีที่เป็นภูมิแพ้ขึ้นตาเรื้อรังมีการขยี้ตามานานอาจพบลักษณะผิวรอบดวงตามีสีคล้ำได้
- สำหรับการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ชนิดเจาะจงที่ก่อให้เกิดอาการนั้น ไม่ได้ทำการตรวจในคนไข้ทุกราย โดยจะเลือกทำในรายที่มีอาการรุนแรง หรือ เรื้อรัง
- Skin prick test ตรวจด้วยการนำสารที่พบว่ามีการก่อภูมิแพ้ได้บ่อยมาจิ้มที่ท้องแขน และดูการตอบสนองที่ผิวของผู้ป่วยว่ามีการบวม นูน แดงหรือไม่ซึ่งเป็นลักษณะที่บ่งบอกว่ามีอาการแพ้ โดยเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- การเจาะเลือดตรวจดูระดับภูมิคุ้มกัน (IgE) ที่ต่อสารที่แพ้บางชนิด
- สำหรับการตรวจเพื่อให้ทราบว่ามีภูมิแพ้ที่เยื่อบุตาจริงไหม ทำได้โดยการขูดเยื่อบุตาขาว และนำไปตรวจดูว่ามีเม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophil สูงหรือไม่
การรักษาโรคภูมิแพ้ขึ้นตามีหลักการอย่างไรบ้าง และสามารถดูแลตัวเองอย่างไรได้บ้าง
- การรักษาโดยไม่ใช้ยา
- หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ถ้าหากทราบชนิดสารดังกล่าวซึ่งเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ เช่นแพ้ไรฝุ่นสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และนำไปตากแดดบ่อยๆ ในกรณีที่แพ้ขนสัตว์ สามารถทำการแยกสัตว์ไม่ให้เข้ามาในห้องนอน
- เมื่อมีอาการคันตา ให้พยายามไม่ขยี้ตาเพื่อลดการหลั่งสาร histamine จากเม็ดเลือดขาว ซึ่งถ้าหากขยี้ส่งผลให้อาการคันมากขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้
- ล้างมือบ่อยๆในช่วงที่มีอาการแพ้เนื่องจากเป็นแหล่งที่นำสารก่อภูมิแพ้เข้าตาได้
- ประคบเย็นบริเวณดวงตาเพื่อลดการหลั่ง histamine ส่งผลให้ลดอาการคันได้
- ใช้น้ำตาเทียม หยอดตา
- ช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ที่ผิวกระจกตา
- การนำน้ำตาเทียมแช่เย็น และหยอดตา ช่วยลดการหลั่งhistamine ได้
- การรักษาด้วยการใช้ยา
- ยาหยอดตาชนิด anti-histamine เพื่อลดอาการคันตา ตาแดง และบรรเทาอาการแพ้
- ยาหยอดตาชนิด mast cell stabilizer เพื่อป้องกันการหลั่ง histamine จาก mast cell อย่างไรก็ตามระยะเวลาที่ใช้ออกฤทธิ์ช้า โดยใช้เวลาประมาณ2สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล จึงมักให้ร่วมกับ anti-histamine และสามารถหยอดตั้งแต่เนิ่นๆช่วงที่ใกล้เข้าฤดูที่สัมพันธ์กับอาการแพ้ เพื่อเป็นการป้องกันอาการไม่ให้รุนแรง
- ยาหยอดตาชนิด steroid ใช้ในกรณีที่เป็นเรื้อรังและรุนแรง โดยต้องใช้ระยะสั้น และสั่งโดยจักษุแพทย์
การใช้ immune therapy สามารถใช้กับภูมิแพ้ที่ตาได้หรือไม่ มีวิธีการทำอย่างๆไร
- สามารถใช้รักษาภูมิแพ้ที่ตาได้ แต่ไม่ได้เลือกทำในผู้ป่วยทุกๆราย เลือกทำในผู้ที่มีอาการรุนแรงและมีอาการเรื้อรัง
- การทำ immune therapy ต้องทำการปรึกษากุมารแพทย์ หรือ อายุรแพทย์ โรคภูมิแพ้
- ต้องรู้ชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ชัดเจน จากการทำ skin prick test ซึ่งมากกว่า 50% ของผู้ป่วยมักไม่เจอสารก่อภูมิแพ้ที่ชัดเจน ซึ่งจะไม่สามารถทำ immune therapy ได้
- ทำโดยการนำสารก่อภูมิแพ้ชนิดที่ผู้ป่วยแพ้ปริมาณน้อยๆมาทำการฉีดกระตุ้นที่ใต้ผิวหนัง โดยจะทำการฉีดกระตุ้นซ้ำๆเพื่อให้ภูมิคุ้มกันร่างกายชินกับสารกระตุ้นนั้นคล้ายเป็นการทำให้ร่างกายรู้จักกับสารตัวนี้และลดการเกิดการแพ้
- พบว่าการทำ immune therapy ช่วยลดอาการภูมิแพ้ทางตา ทางจมูก และทางผิวหนังได้มากกว่าการหยอดยา และเมื่อเทียบผจากการำ immune therapy และการหยอดยาพบว่า IgE ลดลงมากกว่าด้วย
การรักษาคนไข้ภูมิแพ้ขึ้นตาแบ่งได้ 3กลุ่มคร่าวๆดังนี้
- กลุ่มเด็กที่มีโรคภูมิแพ้เรื้อรัง อาการเป็นเยอะเป็นบ่อยมาด้วยตาแดงไปโรงเรียนไม่ได้ ตาแพ้แสงน้ำตาไหล ต้องได้รับsteroid ระยะสั้น และใช้ ยากดภูมิต่ำๆหยอดตา เช่น cyclosporin แนะนำและติดตามจนเข้าสู่วัยรุ่นหรืออาการดีขึ้น
- กลุ่มช่วงอายุ 30-40 ปี มาด้วยอาการคันตาเฉียบพลัน ตาแดงน้ำตาไหล มีขี้ตา และมีประวัติสัมผัสสารที่แพ้ มักเป็น2ข้าง แพทย์แนะนำหลีกเลี่ยงสารแพ้ และอาจให้ยาหยอดและรับประทาน antihistamine
- กลุ่มผู้สูงอายุ 70-80ปี มาด้วยอาการเคืองตาคันเปลือกตา คันหัวตา ส่วนใหญ่มักเป็นจากภาวะตาแห้ง โดยส่วนน้อยเป็นจากอาการแพ้ บางรายมีเปลือกตาอักเสบร่วมด้วย โดยกลุ่มนี้อาจรักษาโดยการทำความสะอาดเปลือกตา และรักษาภาวะตาแห้ง
ภาวะแทรกซ้อนต่อดวงตาที่สามารถเกิดได้จากการเป็นภูมิแพ้ขึ้นตาชนิดเรื้อรัง และ รุนแรง
- มักเจอภาวะแทรกซ้อนในเด็ก ซึ่งเป็นสาเหตุที่แนะนำให้ทำการรักษา
- เมื่อมีการขยี้ตาบ่อยๆในช่วงที่อายุยังน้อยโดยเฉพาะอายุต่ำกว่า20 ปี ซึ่งcollagen ในกระจกตายังไม่มีความแข็งแรงจะทำให้collagenนั้นเกิดความผิดปกติ เกิดกระจกตาโก่งย้วยได้ (Keratoconus)
- ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้มักมีประวัติเปลี่ยนแว่นบ่อย เช่นสายตาสั้น และเอียงไวผิดปกติ ซึ่งในกลุ่มนี้แนะนำให้พบจักษุแพทย์เพื่อประเมินและทำการรักษาภูมิแพ้ขึ้นตาให้เหมาะสมต่อไป
- ถ้ามีอาการรุนแรงมากๆอาจทำให้ผิวกระจกตามีปัญหา อาจมีภาวะตาแห้งมากกว่าปกติ
- การขยี้ตาบ่อยๆอาจทำให้มีภาวะหนังตาตกได้ ซึ่งมีผลต่อกล้ามเนื้อที่ช่วยในการเปิดเปลือกตา
PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อการเกิดภูมิแพ้ขึ้นตาหรือไม่ และเรามีวิธีการดูแลป้องกันตนเองได้อย่างไรบ้าง
- PM 2.5 มีองค์ประกอบหลายอย่าง เมื่อเข้าตาจึงสามารถก่ออาการแพ้ขึ้นมาได้เกิดอาการระคายเคือง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภูมิแพ้ตา และมีภาวะตาแห้งเดิม
- หลีกเลี่ยงได้ยาก อาจต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อเป็นการชะล้างฝุ่นที่ระคายเคืองตาออกไป บางรายที่มีภูมิแพ้หรือตาแห้งเดิมอาจต้องใช้น้ำตาเทียมหรือยาในการคุมอาการมากขึ้น
สามารถซื้อยาเองได้ไหมหรือต้องพบแพทย์ทุกครั้ง
- ในกลุ่มเฉียบพลันเมื่อได้รับการวินิจฉัยและคำแนะนำจากจักษุแพทย์ สามารถหาซื้อยาได้เองตามร้านขายยา เมื่อมีอาการเช่นยา antihistamine
- ในกลุ่มภูมิแพ้ขึ้นตาเรื้อรัง ควรที่จะตรวจติดตามกับจักษุแพทย์เพื่อติดตามว่ามีลักษณะของดวงตาที่เกิดจากภูมิแพ้เรื้อรัง เพื่อที่จะได้ทำการรักษาต่อไป
การใช้ยาหยอดตา antihistamine ในระยะยาวมีผลเสียอย่างไรบ้าง
- อาจเกิดภาวะตาแห้งได้ เนื่องจากยามีผลต่อการหลั่งน้ำตา และตัวยามีสารกันเสียผสมอยู่
- ตัวยามีฤทธิ์ในการหดเส้นเลือด ทำให้หยอดไปแล้วตาหายแดงเร็ว แต่เมื่อหยอดไปนานๆ ฤทธิ์อาจลดลง และทำให้เมื่อหยอดไปตาอาจไม่หายแดงแล้ว
- ถ้าหากต้องใช้ยาในระยาว และคุมอาการได้ไม่ดีควรพบจักษุแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา และทำการรักษาต่อไป
“โรคภูมิแพ้ขึ้นตาเป็นภาวะที่พบใด้บ่อย ผู้ปกครองควรใส่ใจกับภาวะนี้ของเด็กและพามาพบจักษุแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อทำการรักษาและป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนกระจกตาโก่งย้วยในเด็ก”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี