สายการบิน ANA ชั้น Economy นั่งสบายมาก เรานั่งริมทางเดิน ขอจองที่นั่งริมทางเดินก็ต้องจ่ายตังค์ แต่ที่นั่งยาว กว้างกว่า Premier Economy ของ UA เสียอีก จากกรุงเทพฯ ไปนาริตะใช้เวลา 6 ชม. เราแวะนาริตะเพียง 70 นาที ตามกำหนดการ แต่กว่าเครื่องจะจอด และลงจากเครื่องได้ก็มีเวลาเหลือเพียง 45 นาที ผมบอกแอร์ว่าเรา 2 คน(และคนอื่นๆ) มีเวลาน้อยจึงถูกเชิญไปนั่งหัวเครื่องบินตรงทางออก ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ถ้าต้องรอคนที่อยู่ข้างหน้าเรา(เยอะมาก)ออกก่อน จะไม่ทันแน่นอน เขาเอาเชือกมาผูกข้อมือเรา สำหรับเป็นใบเบิกทางแต่ก็ไม่ได้สิทธิ์อะไรพิเศษ!! ตลกมาก ตอนผ่าน security ยังต้องเข้าคิวเหมือนคนอื่น ไปถึง gate เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ขึ้นเครื่อง
จากนาริตะไป Denver 11 ชม. พิชาญได้กรุณาใช้ไมล์ upgrade ชั้น economy ขาไปจากนาริตะให้เป็น premier econ. ให้ มีแจกถุงสำหรับใช้ในห้องน้ำด้วย คล้ายๆ ชั้นธุรกิจ แต่ที่นั่งยังสู้ชั้น econ. ของ ANA ไม่ได้ ขากลับพิชาญยังได้กรุณา upgrade เราทั้ง 2 ให้เป็น business class หรือที่ UA เรียกว่าชั้น Polaris ซึ่งสะดวกสบายกว่าชั้น premier economy มาก แต่ผมก็ยังนั่งตลอด ไม่ได้เอนเบาะเลย ไม่ได้หลับเลยตลอดขากลับจาก Denver ถึงไทย ช่วงที่นั่งชั้น Polaris ถ้าจะนอนก็ยังนอนในท่านั่ง แต่ไม่หลับ ได้งีบสั้นๆ เป็นช่วงๆ
ออกจากกรุงเทพฯ วันอังคารที่ 9 กันยายน เวลา 07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ทารุณมาก ต้องไปถึงสนามบิน 3 ชั่วโมงก่อนเครื่องออก ซึ่งก็คือ 04.00 น. หลานโจ้พยายามจะ check in online ก่อนก็ไม่สำเร็จ โดยถูกอ้างว่าช่วงนี้เราบินกับ ANA (แต่ซื้อผ่าน UA) ผมไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 4.30 น. ไม่ค่อยมีคน จะ check in กับเครื่องตามที่เจ้าหน้าที่บอกและช่วยทำให้ก่อนไปที่ counter ปรากฏว่า check in ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ช่วย ทั้งๆ ที่ผมมีหมายเลข booking ปรากฏว่าเครื่องตรวจไม่พบหลักฐานการจองตั๋วของผม (โจ้เป็นคนจอง) เจ้าหน้าที่เลยพาไปเช็คอินที่ counter ปรากฏว่า เหตุผลออกมาว่า มาจากการที่โจ้จองตั๋วโดยใส่ชื่อผมเป็น Dr.Pinit Kullavanijaya แต่ passport ผมเป็น Mr. ซึ่งจริงๆ แล้วผมบอกโจ้ตอนที่ซื้อตั๋วเสร็จใหม่ๆ ทันทีนานแล้ว (เขาน่าจะถามผมก่อนซื้อตั๋ว) และโจ้ก็แจ้งสายการบินแล้ว เจ้าหน้าที่บอกแก้ตั๋วไม่ได้ แต่บอกว่า note ไว้แล้วใน booking ที่ counter พบว่า การ check in ไม่มีปัญหา แต่พอจะใส่ไมล์สะสมของ TG ทำไม่ได้ ต้องดำเนินการอยู่นานมาก จึงได้ ผมเป็นห่วงขากลับจาก Denver มาก เพราะอาจมีแต่เครื่องออโตเมติก ไม่มีเจ้าหน้าที่ หรือถึงมีเจ้าหน้าที่ ก็อาจพูดกันไม่รู้เรื่อง ในอดีตผมก็เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเช่นนี้ คราวนี้กว่าจะแก้ปัญหาได้ก็นานมาก แต่ในที่สุดก็สะสมไมล์ได้ และขากลับ การเช็คอิน และการใส่ไมล์สะสมไม่มีปัญหาเลย สุดยอด!?
บนเครื่องบินก็ดื่มไวน์แดง ขาว ไปอย่างละแก้วเท่านั้นตลอดเส้นทาง ดูหนังแต่ละเรื่องก็ไม่สนุก ดูนิดเดียวก็เปลี่ยน สรุปดูไม่จบสักเรื่อง ไปถึง Denver ก็เป็นเวลาเพียง 12.05 น. ของวันอังคารที่ 9 กันยายน เท่านั้น!? แปลกมากบินรวมประมาณ 18 ชม. ออกจากกรุงเทพฯ เช้าวันอังคารที่ 9 กันยายน เวลา 7.00 น. ถึง Denver 12.05 น. ของวันเดียวกัน! ทั้งนี้เพราะ Denver ช้ากว่าไทย 13 ชม. เวลาบินไปยุโรปหรืออเมริกาจากไทยจะได้กำไรเวลา แต่ขากลับจะตรงกันข้าม จะขาดทุนเวลา เช่น ออกจาก Denver วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน เวลา 11.30 น. ถึงไทยวันศุกร์ที่ 19 กันยายน เวลาเที่ยงคืน หรือพูดง่ายๆ เช้าวันเสาร์จะถูกต้องกว่า เรียกว่าขาดทุนย่อยยับ โชคยังดีที่เป็นเช้าวันเสาร์ กว่าผมจะได้นอนก็ตี 2 แต่ก็ยังตื่น 7-8 โมงเช้าอยู่ดีของวันเสาร์
พอถึง Denver ก็ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองก่อน ที่นี่เมืองเล็ก มีพลเมืองประมาณไม่ถึง 6 แสนคน คิวตรวจคนเข้าเมืองไม่ยาว แต่เจ้าหน้าที่มีไม่มาก จึงต้องรอแถวนานหน่อย เท่าที่พบและแปลกใจคือ คนอเมริกันเองก็ใช้เวลานานพอสมควร ไม่เร็วอย่างที่เคยเห็น รู้สึกปัจจุบันนี้มีคิวแถวใหม่ “Global” อะไรไม่ทราบ ต้องสมัครและเสียตังค์ อันนี้จะเร็วหน่อย
พอถึงคิวผมๆ ชำนาญการ จึงดึงโจ้ไปด้วย เจ้าหน้าที่ถามว่ามาทำอะไร เที่ยวหรือทำงาน พอบอกว่ามางานแต่งงานหลานชาย เขาก็ยินดีด้วย และให้ผ่านอย่างรวดเร็ว คนก่อนหน้าผมช้าทุกๆ คน บางคนต้องเข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่อีกด้วย
กระเป๋ามาเร็วมาก (คนน้อย และติดรอตรวจคนเข้าเมืองมั้ง) ตอนจะผ่านศุลกากรผมเห็นมี 2 ช่องทางออก อีกคนท่าทางใจดีกวักมือเรียกให้ไปเลย แต่โจ้เจ้ากรรม!? ดันไปอีกช่องหนึ่ง และยังดันไปถามเขาด้วยว่ามี sandwich มาจากเครื่องบินต้องทิ้งไหม?? จะบ้าตาย!? ไอ้เจ้าหน้าที่ๆ ถูกถามก็งงๆ อยู่นาน พอรู้เรื่องก็บอกให้ทิ้ง แต่ก็ยังสั่งให้เราทั้ง 2 เอากระเป๋าทุกใบ เล็กใหญ่ เข้าเครื่องหมด และมีคนอยู่หน้าเราด้วย จึงต้องรอใหญ่!? และหลังจากนั้นยังให้เราทั้ง 2 เปิดกระเป๋าทุกใบออกให้ตรวจค้น!! โจ้เจ้าปัญหาก็หากุญแจเปิดกระเป๋าไม่พบ และเมื่อพบก็ตื่นเต้น ไขกุญแจไม่ได้อยู่นาน กู(ผม) ละเบื่อเลย!? แต่ตรวจแล้วก็ไม่มีอะไร(อยู่แล้ว) แต่มียาเต็มไปหมด!? 555
ออกมาจากศุลกากรได้ก็โล่งอก ไม่กลัว เพราะไม่มีอะไร แต่เสียเวลา(โดยไม่ใช่เหตุ เพราะความซื่อ(เกินไป)ของโจ้!?) ออกมาข้างนอกก็พบคุณหมอ Wendy รออยู่ ใส่เสื้อยืดไทยเขียนว่าประชาชนของพระราชาเสียด้วย ก็กอดกันพอหอมปากหอมคอ Wendy ก็ขับรถพาเราทั้ง 2 กลับบ้าน เป็นรถ Volvo นั่งได้ 4 คนสบายๆ ดูเล็กๆ นึกว่าจะใส่กระเป๋าเรา 2 คนไม่ได้เสียแล้ว เพราะมีของที่ Wendy เพิ่งซื้อจาก Costgo เต็มไปหมด แต่ก็บรรจุของเรา 2 คนได้พอดี Wendy บอกมีเวลาว่าง สนใจที่จะแวะ Costgo ไหม ทั้งๆ ที่ Wendy เพิ่งไปมาก่อนมารับเรา แต่บอกว่ายังซื้อไม่จุใจ!? ขนาดอยู่ที่มะกันนะเนี่ย!? เราก็ไป รู้สึกผมจะซื้อกางเกงมาด้วย 2 ตัวและเสื้อเชิ้ต 1 ตัว ของที่ Costgo ราคาถูกมาก กางเกงราคาตัวละประมาณ 15-19 เหรียญเท่านั้น ผมชอบซื้อกางเกงลำลองจาก Costgo และแล้วเราก็ตรงไปบ้านเลย
นพ.พินิจ กุลละวณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี