25 สิงหาคม 2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.66/2558 กรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ
1) องค์คณะศาลฎีกาฯ ทั้ง 9 ท่าน มีเสียงเอกฉันท์ เห็นว่า จำเลยมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
พิพากษาลงโทษจำคุก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สมัยรัฐบาลทักษิณ จำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา
นายไกรสร พรสุธี อดีตปลัดกระทรวงไอซีที และนายไชยยันต์ พึ่งเกียรติไพโรจน์ อดีตผู้อำนวยการสำนักกิจการอวกาศแห่งชาติ
จำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญาไว้ 5 ปี
2) การแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ฉบับที่ 5) เพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ต้องถือในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จากไม่น้อยกว่า 51% เป็นไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
มีผลช่วยให้ชินคอร์ปไม่ต้องระดมทุน หรือกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วน 51% ของตนเอง
ประหยัดเงินลงทุนเพิ่มไป นับพันล้านบาท
ศาลฎีกาชี้ชัดว่า เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีขณะนั้น นายทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน และมีส่วนได้เสียในการแก้ไขสัญญา เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินฯ
แต่กระทบต่อความเชื่อมั่นและความมั่นคงในการกำกับดูแลในกิจการโทรคมนาคมของรัฐ
ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการครอบงำกิจการของชาวต่างชาติ ที่จะมีผลต่อกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติ ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายกิจการโทรคมนาคม
3) นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนักธุรกิจสัมปทานดาวเทียมและกิจการโทรคมนาคม
บริษัทชินฯ ได้ทำสัญญาดาวเทียม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534 ยุครัฐบาล รสช.
ทักษิณเข้ามาเล่นการเมืองโดยหลบเลี่ยงกฎหมาย ซุกหุ้นไว้ในชื่อผู้อื่น เมื่อมีอำนาจเป็นนายกฯ ก็ยังมีผลประโยชน์ทับซ้อน อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่หุ้นชินของตนเอง
เลือก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เข้ามาอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเกิดกรณีแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมในที่สุด
4) นพ.สุรพงษ์แก้ไขสัญญาสัมปทานดังกล่าว โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
ศาลฎีกาฯ ชี้ว่า เป็นการอนุมัติโดยมิชอบ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นชอบให้ชินคอร์ปเป็นผู้รับสัมปทาน การจะแก้ไขจึงต้องได้รับความเป็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
5) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีขณะนั้น เคยแจ้ง นพ.สุรพงษ์ด้วย ว่าสัญญาสัมปทานดาวเทียมดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเป็นคู่สัญญากับรัฐ ไม่ควรเสนอเข้ามาที่คณะรัฐมนตรีซึ่งมีนายทักษิณเป็นประธาน
แต่สุดท้าย นพ.สุรพงษ์ แทนที่จะยุติเรื่อง ยำเกรงต่อกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล
กลับอนุมัติให้แก้ไขสัญญาสัมปทานเอง
มีการลงนามแก้ไขสัญญาสัมปทาน เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2547
6) น่าคิดว่า กรณีนี้ ผู้ได้ผลประโยชน์ คือ เจ้าของหุ้นชินคอร์ป
ขณะนั้น คือ ทักษิณ ชินวัตร
แต่คนที่รับโทษ รับกรรมในวันนี้ ได้แก่ ข้าราชการและนักการเมือง
ใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่นายใหญ่
บทเรียนจากกรณีนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อนักธุรกิจสัมปทานอย่างทักษิณเข้ามาเล่นการเมือง ยึดครองอำนาจรัฐ หลบเลี่ยงกฎหมายและรัฐธรรมนูญ มีผลประโยชน์ทับซ้อน อาศัยกลไกราชการเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง โดยใช้นักการเมืองขี้ข้า และข้าราชการที่สมยอมรับใช้ สร้างความร่ำรวยให้แก่ธุรกิจของตนเอง
เมื่อยึดกุมอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จ กระบวนการยุติธรรมถูกตัดตอน กลไกตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญเป็นอัมพาต ที่ผ่านมา ทักษิณจึงใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ตนเองได้มากมายหลายกรณี เช่น กรณีไอพีสตาร์ไม่ใช่เป็นดาวเทียมสำรองของไทยคม 3 ไม่เป็นไปตามสัญญา ดำเนินการโดยไม่เปิดประมูล, กรณีเงินประกันดาวเทียมกว่า 6 ล้านดอลลาร์ นำไปเช่าช่องสัญญาณจากดาวทียมดวงอื่น โดยไม่ส่งคืนกลับไอซีที, กรณีแปลงส่วนแบ่งสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต, กรณีลดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์ระบบเติมเงิน (พรีเพด) เหลือ 20%, กรณีโรมมิ่งสัญญาณมือถือ, กรณีให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้รัฐบาลทหารพม่าเพื่อนำไปซื้อสินค้าบริษัทชินแซท ฯลฯ
รัฐบาล คสช. คงเร่งเดินหน้า สะสางผลประโยชน์มิชอบที่หมักหมม สะสมในกิจการโทรคมนาคมและดาวเทียมของชาติครั้งใหญ่
เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติอย่างเต็มกำลัง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี