ผมไม่เคยคิดจะทำรายการวิทยุ-โทรทัศน์เลย ความมุ่งมั่นตั้งแต่ชั้น ม.ต้น คือการ “ทำงานที่เกี่ยวกับหนังสือ” แน่นอน ขั้นต้นคือ เป็นนักเขียน แต่ถ้าเป็นไม่ได้ ก็ทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับหนังสือ
แต่ผมต้องเรียนสายวิทย์ ตามธรรมเนียมของโรงเรียนต่างจังหวัด ที่เด็กเรียนดี ถูกจับเข้าสายวิทย์โดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะทุรนทุรายกับ “วิทย์ คณิต พาณิชย์” ที่ต้องเรียนเพียงใด ผมก็แค่ทำใจว่า “เรียนให้ผ่าน ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้” แล้ว “สร้างทางคู่ขนาน...สู่ความฝันของตัวเอง” ควบคู่กันไป
แต่ผมก็จัดรายการ “เสียงตามสาย” ของโรงเรียน กับเพื่อนสนิทชื่อ จันทิมา สินธุวานิช ตอนพักเที่ยง สัปดาห์ละ 1-2 วัน ไม่ใช่เพื่อจะเป็น “ดีเจ” แต่เพื่อฝึก “ภาษา” และ “ความกล้า” ให้ตัวเอง เนื่องจากตอนอยู่ ป.6 รู้สึกอับอายและสมเพชตัวเองมาก ที่เรียนดีเป็นอันดับ 1 ตลอด 6 ปีรวด แต่สิ่งเดียวที่ทำไม่ได้เลย คือพูดต่อหน้าคนอื่น หน้าชั้น หน้าเสาธง
แทนการมุ่งเอาชนะคนอื่น ดีกว่านั้น คือการ “ชนะตัวเอง”
ภาพที่ยืนก้มหน้าพูดจางึมงำ หาเสียงแข่งขันเป็นประธานนักเรียน (ซึ่งโรงเรียนบังคับ ตอน ป.6) ภาพการยืนบิดผ้าเช็ดหน้าจนแทบจะขาดหน้าชั้นเรียน ป.5. โรงเรียนบ้านเนินดินแดง และชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านหนองพิกุล คือ ภาพที่รู้สึกตกต่ำทางคุณค่าที่สุด ที่ได้เกิดมาเป็นคนคนหนึ่ง...
“มึงต้องจัดรายการวิทยุ” วีระ ธีรภัทรานนท์ หรือ วีระ ธีรภัทร ที่ทุกคนรู้จัก บอกกับผม ซึ่งเป็นลูกน้องรุ่นเด็กสุด
เถียงแกมาหลายเรื่อง ไม่ทำตามแกมาทุกอย่าง เช่น นักข่าวของหนังสือพิมพ์วัฏจักร ไทยสกายเคเบิ้ลทีวี และวิทยุ 101 ของมีเดียพลัส (ในขณะนั้น) ต้องหมุนเวียนกันทำงาน ทุกคนต้องทำได้ทั้ง 3 สื่อ คือ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ แต่จิตกรไม่ไป จะทำงานหนังสือพิมพ์ “ผมมาสมัครทำงานหนังสือพิมพ์” คำที่ทำให้แกหน้าแดงและควันออกหู
“นักข่าวทุกคนต้องมาเรียนเศรษฐศาสตร์” คำบัญชาของแก ที่ทำให้จิตกรฝืนใจไปเรียน 2 ครั้ง แล้วไม่ไปอีกเลย ซึ่งแกก็ด่าผ่านหัวหน้าโต๊ะ “กระแสชีวิต” ที่ผมสังกัดอีกที คงขี้เกียจด่าแบบตัวต่อตัวแล้ว
ครั้นมีเสียงสั่งซ้ำว่า “มึงต้องจัดรายการวิทยุ” คราวนี้เถียงไม่ได้แล้ว เพราะเป็นงานของโต๊ะข่าวกระแสชีวิตโดยตรง ไม่ทำ เพื่อนร่วมงานก็ต้องทำ ซึ่งเกือบทั้งหมด มีครอบครัวแล้ว วันอาทิตย์เขาก็อยากหยุดพักกัน และเป็นรายการชื่อ “ระเบียงนักอ่าน” ซึ่งข่าววรรณกรรม อยู่ในความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว...
แม้หลังฟองสบู่แตก หนังสือพิมพ์วัฏจักรจะปิดตัวลง แต่มีเดียพลัสได้แยกตัวออกมา วิทยุ 101 ยังอยู่ รายการ “ระเบียงนักอ่าน” ก็ยังอยู่ และทำต่อมาอีกเกือบ 5 ปี จนถูกชิงคลื่นไป (คลื่นนี้อาถรรพ์ แย่งชิงกันจนถึงทุกวันนี้ 555)
คลื่นเดิมคนทำใหม่ไม่ชวน เพราะรู้ว่าจะโดนด่า ที่ปล้นคลื่นไปกลางอากาศ ไปคว้า ไก่ มีสุข มาทำรายการหนังสือเหมือนที่ผมทำเป๊ะ แต่ก็นึกเอาละกันว่า คนที่อ่าน “สาด-จีน” ว่า “สา-ทอน-จีน” ได้ จะทำออกมายังไง...
ที่คลื่น 101 ซึ่งตอนนั้นต้องมาจัดที่ค่ายทหาร ถ.วิภาวดี นี่เอง ทำให้ได้รู้จักกับ เจ๊ปอง-อัญชลี (ตอนนั้นยังไม่ชะลี) ไพรีรัก ไม่ได้สนิทกันนัก รู้จักเพราะเธอหลับอยู่ที่สถานี เจอกันอีกทีเช้าวันหยุด
ต่อมา มีคนชวนมาจัดรายการ “แบบที่น้องเคยจัดนั่นแหละครับ” ที่คลื่น 96.5 ของ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ คุยกับคุณดนัย แกตกลง ก็เลยจัดรายการชื่อ “สีสันวันอาทิตย์ ชีวิตวันหยุด” ทุกเช้ามืดวันอาทิตย์ จบจากรายการผม ก็เป็นรายการข่าวของเจ๊ปอง อัญชลี
รายการคงจะดี ได้ขยายมาเป็นเช้าวันเสาร์ด้วย เลยต้องเปลี่ยนเป็น “สีสันวันหยุด” เจ๊ปองเป็นแฟนรายการ เพราะเธอมาเตรียมอ่านหนังสือพิมพ์และอื่นๆ แต่เช้ามืดเหมือนกัน มาพร้อมน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ฝากน้องๆ ผมได้อานิสงส์ไปด้วย เจ๊แนะนำให้เล่าเรื่องนั้นสิ เอาโจ๊กมาเล่าด้วยสิ แนะนำที่กินสิ ฯลฯ ก็เลยสนิทกัน ต่อมารายการก็ยุติไป เพราะ ประชาไท ธนณรงค์ ไปได้
โฆษณาของเอสเอ็มอีมา เลยเอาเวลาช่วยนี้ไปคุยเรื่องกระบุง ตะกร้า
ผ้าทอ ฯลฯ (ฮา...)...
ไม่ได้ทำรายการวิทยุอยู่พักใหญ่ๆ จนได้รับโทรศัพท์จากเจ๊ปองว่า “น้อง มาจัดวิทยุชุมชนกับพี่ไหม” ตอนนั้นวิทยุชุมชนเป็นเรื่องใหม่มาก แต่ความที่คลื่นปกติ เจ๊ปองถูกผู้มีอำนาจสั่งปิดหมด แกมาเจอ คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ซึ่งต้องการเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในการทำธุรกิจและบริหารประเทศของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ลงตัวสิครับ
วิทยุชุมชน 92.25 จึงถูกปรับโฉมใหม่ด้วยฝีมือ ปอง อัญชลี ซึ่งเป็น “มืออาชีพด้านวิทยุ” จากคลื่นเพลงลูกทุ่ง มวย และรายการแบบ สมาน ศรีวงศ์ กลายเป็นวิทยุข่าวสารและการเมือง เน้นเปิดโปงรัฐบาลทักษิณเต็มพิกัด มีเจ๊ปองจัดหนักเช้าเย็น เติมเต็มด้วย วรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา สืบพงศ์ อุณรัตน์ จากเดลินิวส์, บุญยอด สุขถิ่นไทย จากช่อง 3, สมชาย มีเสน อุดมศักดิ์ เสาวณะ สองหนุ่มหมัดหนักยามบ่าย ฯลฯ
“น้องจัดรายการแบบที่น้องเคยจัด พักหูให้คนฟังนะ น้องเป็นขวัญใจคุณแม่บ้าน ค่อยๆ เติมข่าวสารนิดๆ หน่อยลงไป ให้แม่บ้านคุ้นเคย” เจ๊ปองบอกน้องปู...
จัดกันอยู่ไม่กี่เดือน เครือข่ายรัฐเริ่มลุยเละ เริ่มจากเจ๊ปองถูกตำรวจและคนแปลกหน้าติดตาม จนต้องเปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆ เข้าสถานีไม่ได้ ต้องจัดผ่านโทรศัพท์เข้ามา และมาถึงขั้น “น้อง! จัดรายการแทนพี่หน่อย”
เอาละสิ ไม่เคยจัดรายการข่าวและการเมืองมาก่อนเลย และไม่เคยคิดพิสมัยที่จะทำเสียด้วย แต่สถานการณ์ยามพี่สาวลำบาก เราต้องทำ และต่อมาเจ๊ป้องก็คิดกิจกรรมเสริม ชื่อว่า แจ๊ส อิน เดอะ พาร์ค นั่นคือการตั้งเวทีเสวนาปราศรัย นัดผู้ฟังมารวมกัน เป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมประเภทนี้ ที่ต้องยกให้ว่า เกิดขึ้นมาเพราะผู้หญิงที่ชื่อ “ปอง อัญชลี” ก่อนที่จะมีคนอื่นทำตามและกลายเป็นยี่ห้อของตัวเองไป
ขณะนั้นวิทยุชุมชน 92.25 ก็ดังกว่า “คลื่นหลัก” คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ สนับสนุนการเปิดเผยความจริงสู่ประชาชนคนฟังอย่างเต็มที่ กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวอำนาจรัฐ ถึงหลายคนจะมองคุณประชัยในตอนนั้น ว่าเพียงต้องการทวงคืนกิจการ “ทีพีไอ” ที่ถูกยึดไป และกลายเป็น “ไออาร์พีซี” แต่มันก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของเขามิใช่หรือ ที่จะต่อสู้เพื่อกิจการที่เขาสร้างมากับมือ แต่สิ่งที่คุณประชัยไม่เคยออกมาเอาหน้าเลย ก็คือ อุดมการณ์และทิศทางที่ย้ำกับเราทุกคนว่า “ประชาชนต้องไม่ถูกมอมเมา ไม่ถูกปิดหูปิดตา ความจริงต้องถูกเปิดเผย”
ความชั่วของรัฐบาลยุคนนั้นถูกเปิดโปงหนักหน่วง จนต้องมาปิดสถานี หลายรอบ ปิดทีก็วงแตกที เผลออีกที ก็กลับมาเปิดอีก
น่าจดจำที่สุดคือการปิดสถานีครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อ จรัล ดิษฐาอภิชัย ทำทีขอน้องปองไปดูสถานีหน่อย จะเกี่ยวกันหรือเปล่าไม่รู้ วันสองวันต่อมา เจ้าหน้าที่รัฐก็บุก และรู้เส้นทางอันซับซ้อนที่จะขึ้นไปยังห้องส่งสถานีได้เป็นอย่างดี...
ที่คลื่น 92.25 นี้ ผมยังจัดรายการคู่กับ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในตอนบ่าย แล้วเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น จนต่อมา ได้จัดรายการ “มุมมองของเจิมศักดิ์” กับ อ.เจิมศักดิ์ อีกครั้ง จนกลายเป็นคู่แฝดกันไป แล้วลามมาเป็นรายการโทรทัศน์ทางช่องสุวรรณภูมิด้วย...
แต่จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า “สิ้นเดือนมกราคมนี้ ปิดคลื่น 92.25 แล้วนะพี่ ขอบคุณที่จัดรายการด้วยกันมาซะนานเลย”
ใจหายไหม ไม่ เสียดายไหม ไม่ เห็นใจ เข้าใจ ว่ามันไปลำบากได้ยุคนี้ มีแต่กินเงินคุณประชัยไปเรื่อยๆ และนับแต่คุณศิลปิน บูรณศิลปิน ซึ่งเคยดูแลเรื่องวิทยุโทรทัศน์ให้คุณประชัยและทุกเรื่องราวของท่าน เสียชีวิตจากไป ก็ไม่มีใคร “ใส่ใจ” ต่อคุณภาพของ 92.25 อีกเลย คนเก่าๆ และอุดมการณ์เดิมๆ ถูกหลงลืม ดังนั้น จบคือจบ แต่อยากให้ทุกคนจำว่า คลื่น 92.25 คือคลื่นที่ลุยกับระบอบทักษิณมาก่อนใคร คือวิทยุชุมชนที่ทำงานอย่าง “คลื่นใหญ่” และทำด้วยใจจริงๆ…
92.25 ให้ประสบการณ์ที่ล้ำค่า ไม่มี 92.25 ก็ไม่มี จิตกร บุษบา แบบที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ ปะ ฉะ ดะ ชนิดถูกปิดรายการรอบแล้วรอบเล่า ในยุค “น้องสาวอดีตนายกฯ ผู้ยิ่งใหญ่” เจ้าของคลื่นถูกกดดันหนักให้ปิดรายการผม เขาไม่ปิด มันไปปิดวิทยุลูกข่ายเขา ไปประชุมเอเย่นต์ไม่ให้ใช้ปูนเขา เราก็ยอมหยุด สงสารเขาซึ่งดีกับเราเสมอมา และเขายืนหยัดเพื่อเรามามากแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี