“L’Etat, c’est moi” - The State. I am the State คำพูดข้างต้นนี้ถูกระบุโดยนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสว่า เป็นพระราชดำรัสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งพระองค์ตรัสคำนี้หลังจากที่ทรงจัดการปกครองประเทศได้สำเร็จ เมื่อทรงจัดแบ่งอำนาจของศาสนจักรกับอาณาจักรได้ลงตัวแล้ว แน่นอนว่าคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสมาเป็นอย่างดีคงรู้ว่าพระเจ้าหลุยส์ทรงปกครองฝรั่งเศสยาวนานถึง 72 ปี กับ 110 วัน และทรงทำให้ฝรั่งเศสมีบทบาทนำอย่างสำคัญในยุโรป
เพราะฉะนั้นการที่พระเจ้าหลุยส์จะตรัสว่า I am the State. จึงนับได้ว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะทรงสร้างสรรค์ความเจริญและทำความยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสให้ประชาคมโลกในยุคนั้นได้ประจักษ์โดยแท้จริง
แต่สำหรับการเมืองของประเทศไทย การที่ผู้มีอำนาจรัฐบางรายจะบังอาจยกตนอวดอ้างว่า “ผมรักชาติมากกว่าใคร” “ผมเสียสละความสุขส่วนตัวและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อปกป้องประเทศชาติ” “ดิฉันจะอยู่ (ในอำนาจ) เพื่อป้องประชาธิปไตย” “ผมรวยแล้ว ผมไม่โกง ผมทำเพื่อประเทศชาติ” และแม้กระทั่งกล้ากล่าวคำว่า “เอาไว้ผมสบายใจแล้วผมจะปลดล็อก” “อยู่กันเฉยๆ เสียบ้าง ถามกันอยู่ได้ ถามจนประเทศชาติวุ่นวายไปหมดแล้ว โง่แบบนี้อย่ามาเป็นสื่อฯ”
คงไม่เป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่จะเชิญเอาพระราชดำรัสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มาเทียบกับคำพูดที่ฟังแล้วไร้สาระอย่างที่สุดของผู้มีอำนาจรัฐหลายรายในประเทศไทย สาเหตุที่ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน มิใช่เพราะฝ่ายหนึ่งมีพระราชสถานะเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนสามัญชน แต่เพราะว่าเนื้อหาสาระของความรักชาติ และการอุทิศทุ่มเทเพื่อประเทศชาติของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อำนาจรัฐเป็นสิ่งที่ผู้คนซึ่งไม่เคยมีอำนาจมาก่อนในชีวิต ต่างหลงใหลและพยายามจะครอบครองให้มากและยาวนานที่สุด แต่น่าเสียดายที่ผู้มีอำนาจรัฐจำนวนมิใช่น้อยบนแผ่นดินไทย มิเคยใช้อำนาจรัฐที่มีเพื่อสร้างสรรค์ผลประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชน
ผู้มีอำนาจรัฐมักอวดอ้างเสมอว่า ตนเองทุ่มเทและกระทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์และความเจริญของประเทศชาติและประชาชน แต่ทว่าคำอ้างกับความจริงที่ปรากฏ กลับสวนทางกันตลอดเวลา
แต่ถึงแม้ผู้คนบนแผ่นดินจะจับได้ทุกครั้งว่า ข้ออ้างเหล่านั้นล้วนเป็นคำโกหกมดเท็จ แถมยังจับได้ว่า ผู้มีอำนาจรัฐจำนวนไม่น้อยใช้อำนาจรัฐเพื่อกอบโกย และแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้องเป็นประจำโดยปราศจากความละอาย แต่ทว่าผู้มีอำนาจรัฐก็ยังคงอวดอ้างด้วยวาจาเช่นนั้นเสมอมา
ความสุข ความเจริญของประเทศไทย และประชาชนไทยต้องขึ้นอยู่กับความสบายใจส่วนตัวของผู้มีอำนาจรัฐ กระนั้นหรือ ตกลงว่า ประเทศไทยเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้มีอำนาจรัฐ ใช่หรือไม่ ส่วนประชาชนไทยก็มีฐานะเพียงคนที่อาศัยแผ่นดินนี้อยู่ เท่านั้นหรือ
น่าอดสูและน่าสมเพชยิ่งนักที่ผู้มีอำนาจรัฐกล้าตอบประชาชนว่า “เอาไว้ผมสบายใจเสียก่อน” ขอถามอีกครั้งว่า ผู้ที่อ้างเช่นนั้นเป็นเจ้าของประเทศหรืออย่างไร คนพูดเคยถามตัวเองบ้างไหม แล้วเคยส่องกระจกดูตัวเองบ้างหรือเปล่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี