เพิ่งจะสูญเสียท่านเจ้าอาวาสผู้เป็นพระแท้ไปได้ไม่กี่วัน สังขารของท่านยังตั้งบำเพ็ญกุศลอยู่เลย “วัดอรุณราชวราราม” ก็พลัน
ตกเป็น “จำเลย” ของสังคม โดยเฉพาะใน “สื่อสังคมออนไลน์” หรือโซเชียลมีเดีย ชนิดที่พระเณรเถรชีมึนตึ้บ ไม่รู้จะเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไรดี
ทำท่าจะโล่งใจ เมื่ออธิบดีกรมศิลปากร นายอนันต์ ชูโชติ เปิดห้องแถลงข่าว รายละเอียดการซ่อมพระปรางค์วัดอรุณ พร้อมออกแถลงการณ์เป็นเอกสารชัดเจน กลับมีคำพูดหนึ่งของอธิบดี ที่เหมือน “ราหู” เข้าอมวัดอรุณในทันที คือ กรมศิลป์ได้ยกกระเบื้องจำนวนหลักแสนชิ้นให้แก่ทางวัด แล้ววัดนำไปจัดสร้างพระเครื่อง
เท่านั้นเอง โซเชียลมีเดียซึ่งเริ่มเข้าใจหลักการบูรณะ ว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตนเองบ่นว่าเสียทั้งหมด ก็หันมางับประเด็นใหม่ ว่าเฮ้ยๆๆๆ วัดเอากระเบื้องซึ่งเป็นโบราณวัตถุมีค่า ไปทำพระเครื่องได้ยังไง คราวนี้ด่าพระด่าวัดกันอึงมี่
สื่อกระแสหลักก็ไม่ช่วย “ไต่สวนทวนความ” กลับเมามันไปกับ “ตลาดอารมณ์” ผสมโรงปรนเปรอไปด้วย ขนาดสาระสำคัญที่อธิบดีท่านแถลง ซึ่งจะเป็นความรู้แก่สังคมได้ ยังไม่นำเสนอให้ครบ ให้ละเอียด แต่หันไปเล่นประเด็นที่สังคมโจษจัน แทนที่จะช่วยกันจูงสังคมไปสู่ข้อเท็จทริง ความรู้ ความเข้าใจ กลับเลือกที่จะไปต่อยอด “ความเห็นและความรู้สึก” แทนเสียอย่างนั้น
ผมจะลองสรุปประเด็นสำคัญๆ ที่จำเป็นต่อการรับรู้และทำความเข้าใจ รวมถึงอาจขอกระตุกต่อมคิดให้กลับมาปกติในหลายๆ ประการดังนี้
1) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระปรางค์วัดอรุณ นับแต่ทำเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 แล้ว ก็มีการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในคราวที่พระองค์ทรงครองสิริราชสมบัตินานเป็น 2 เท่าของรัชกาลที่ 2 ที่เรียกว่า “ทวีธาภิเษก” (ซึ่งนำไปสู่การตั้งโรงเรียนทวีธาภิเษกขึ้นมาด้วย) พ.ศ.2441 โดยทรงตั้งพระราชหฤทัยปรารถนาจะทำเพื่อเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 2 ผู้ทรงโปรดฯให้ขยายวัดเล็กๆ แห่งนี้ขึ้นเป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ เป็นศรีสง่าแก่พระนคร
2) พระยาราชสงคราม ผู้เป็นแม่กองบูรณะ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต รื้อวิหารคดบางส่วนทิ้ง ย้ายพระพุทธรูปบางส่วนขึ้นไปไว้บนพระมณฑปทิศบนองค์ปรางค์ รื้อเก๋งจีนด้านเหนือ-ใต้ ยุบซุ้มประตูรอบพระปรางค์จาก 9 ประตู เหลือ 5 ประตูอย่างในปัจจุบัน ทำรั้วเหล็กเพิ่ม รื้อรูปกินนร กินรี ที่ฐานพระปรางค์ทิศออก ทำใหม่โดยเปลี่ยนวัสดุ จากศิลาอย่างโบราณเป็นปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวัสดุที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในสยามประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ “เปลี่ยนกระเบื้องจีนประดับพระปรางค์”!! (โชคดีที่สมัยนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดีย) สิ้นเงินไปทั้งหมด 132,762 บาท
3) จากรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 9 มีการซ่อมแซมเล็กน้อย พระปรางค์ชำรุดทรุดโทรม จนเกิดการบูรณะหลายรอบในรัชกาลที่ 9 นี้ แบ่งเป็น
l พ.ศ.2489 ปฏิสังขรณ์ปรางค์ทิศกับมณฑปทิศด้านทิศเหนือ
l พ.ศ.2500 ซ่อมปูนที่ชำรุด ทาสีกำแพง และทาสีรั้วพระปรางค์
l พ.ศ.2508 ปฏิสังขรณ์พระปรางค์ทิศกับมณฑปทิศด้านทิศเหนือ
l พ.ศ.2510 ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ทั้งองค์ปรางค์
4) ในครั้งปี 2510-11 นี่เอง ที่มีการนำปูนปอร์ตแลนด์ (ปูนดำ) เข้ามาใช้ จนสีของพระปรางค์เปลี่ยนเป็นเทาทึม และกลายเป็นภาพเจนตาของคนทั่วไป ประกอบกับภายหลัง ราขึ้น ตะไคร่จับ ผสมความดำเข้าไปอีก คนก็นึกว่าพระปรางค์วัดอรุณเป็นสีอย่างนั้น
5) มีการบูรณะย่อยๆ ในปี 2538 อีกครั้ง เปลี่ยนกระเบื้องส่วนใหญ่ที่ชำรุด เสื่อมสภาพ โดยทำของใหม่ขึ้นทดแทน
6) ทุกครั้งที่มีการบูรณปฏิสังขรณ์ กระเบื้องถูกเปลี่ยนเสมอมา โดยใช้หลักรักษาส่วนใหญ่ที่สภาพยังใช้งานได้ และ
เก็บชิ้นที่เสื่อมสภาพออก ทิ้งไป แล้วนำของใหม่ที่เกิดจากการกระสวน (ลอกแบบแล้วทำเทียม) ขึ้นไปติด
พระปรางค์วัดอรุณจัดอยู่ในประเภท “โบราณสถานที่ยังมีชีวิต” คือยังใช้งานอยู่ ซึ่งหลักในการบูรณปฏิสังขรณ์ จะต่างไปจากการบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานที่ตายไปแล้ว ซึ่งจะไม่นำของใหม่เข้าไปปะปน หรือปะปนให้น้อยที่สุด แล้วทำให้เห็นความต่างเอาไว้
ดังนั้น การบูรณปฏิสังขรณ์ในปัจจุบันก็ใช้หลักเดียวกัน มีการเก็บแบบกระเบื้อง แล้วสั่งทำขึ้นจำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปติดทดแทนส่วนที่เสื่อมสภาพ ชำรุด โดยการสืบให้ได้ว่า การเปลี่ยนเมื่อปี 2538 หรือ 2510 นั้น ใช้โรงงานใดเผากระเบื้องให้ ส่วนแบบนั้น ตรวจทานแล้วจากหอจดหมายเหตุ จากนั้นสำรวจกระเบื้องประดับพระปรางค์ ส่วนใดที่เสื่อมสภาพ ชำรุด ไม่ควรคงไว้เพราะจะผุพังได้ในเวลาไม่ช้า ก็เปลี่ยน ดังนั้นชิ้นที่เปลี่ยนจึงเป็นชิ้นที่เสื่อมสภาพ และแต่เดิมที่ทำมาคือ ทิ้ง แต่ครั้งนี้ วัดเกิดเสียดาย จึงขอกับกรมศิลปากรว่า ทิ้งไปก็สูญค่าเปล่า ขอนำมาจัดทำวัตถุมงคล ส่วนหนึ่งนำรายได้เข้ามาสมทบการบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม ส่วนหนึ่งเพียงให้ได้ค่าดำเนินการจัดทำคืน แล้วส่วนที่เหลือ เก็บไว้แจกจ่ายให้ญาติโยมในคราวสำคัญๆ เช่น กฐินพระราชทาน, ออกพรรษา, สวดมนต์ข้ามปี ฯลฯ
7) ในการจ้างเหมาบริษัทมาบูรณปฏิสังขรณ์นั้น ต้องเป็นไปตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของกรมศิลปากร โดยเฉพาะคุณสมบัติของผู้รับเหมา ว่าต้องผ่านงานอะไร อย่างไร มาบ้าง ซึ่งตรวจสอบได้ ดีกว่าพูดจาเลื่อนเปื้อนกันไปในสื่อออนไลน์ หรือแม้กระทั่งการให้สัมภาษณ์ของอดีตคณบดีคณะโบราณคดีทางช่องนิวส์วัน ที่นำมาอ้างกันอยู่ ก็เป็นการพูดแบบในภาพรวมเรื่อง “ระบบการจ้างเหมา” ว่าไม่ดีอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นข้อถัดไปที่เราต้องมาช่วยกันคิดว่าควรยกเลิกระบบดังกล่าว หรือเพิ่มเติมระเบียบกฎเกณฑ์อะไรเข้าไปบ้าง
8) ในการบูรณะครั้งนี้ ได้ย้อนกลับไปใช้ “ปูนตำ” อย่างโบราณ เหมือนเมื่อก่อนการบูรณะปี 2538 เพื่อให้ถูกต้องตามลักษณะดั้งเดิม เมื่อจบงาน คนเห็นพระปรางค์เป็นสีขาวเลยโวยวายกันใหญ่ เกิดอุปทานหมู่ ด่าตามกันไป ด่าลามด่าเลยถึงพระสงฆ์องค์เจ้า น่าเวทนานัก
9) กระเบื้องก็เปลี่ยนบ้าง รักษาบ้าง เหมือนทุกครั้งที่บูรณปฏิสังขรณ์ บางส่วนกันไว้เพื่อการจัดแสดงเป็นนิทรรศการใน
ภายหลัง ไอ้ที่เสื่อมสภาพจริงๆ ก็ต้องทิ้ง บางคนด่าโดยไม่คิดว่ากระเบื้องมันก็คือ “ดินเผา” ชนิดหนึ่ง กรำแดดกรำลมกรำฝนอยู่กลางแจ้งเช่นนั้น วันหนึ่งมันก็หมดอายุ พอมีบางคนบอกว่ากระเบื้องหาย ก็หายตามเขา
10) ปัญหาจริงๆ ของเรื่องนี้คือ คนทั่วไปไม่ได้มีความรู้ในเรื่องการอนุรักษ์ การบูรณปฏิสังขรณ์ ว่ามีขั้นตอนและระเบียบต่างๆ มากมาย และต่างกันไปในแต่ละประเภทของโบราณสถาน อย่างวัดอรุณนี่ ปล่อยให้เก่าก็ถูกด่า ทำให้ใหม่ก็ถูกด่าทั้งๆ ที่หลักคือรักษาส่วนใหญ่ เปลี่ยนใหม่เท่าที่จำเป็น
11) ส่วนเรื่องฝีมือช่าง อันนี้ต้องยอมรับว่า ปัญหาช่างรุ่นใหม่ ฝีมือด้อยกว่าช่างรุ่นเก่ามีจริง และมีมาทุกยุค แม้การบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีปัญหาเรื่องนี้เช่นกัน แต่ปัจจุบัน พระปรางค์วัดอรุณยังไม่มีการส่งมอบในงวดสุดท้าย งานยังต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งต้องฝากคณะกรรมการตรวจรับว่าควรถี่ถ้วน ที่สังคมบ่นว่าในส่วนนี้ถูกต้องแล้ว แต่ท่าทีอาจก้าวร้าวไปหน่อย ดีที่สุดคือช่วยกันดู ช่วยกันชี้ แล้วแก้ไขเสียให้ดี ก่อนการส่งมอบจะเบ็ดเสร็จ
12) ส่วนฝ่ายพระ หน้าที่ต่อไป คือจัดการระเบียบทั้งหลายในวัด เช่น หยุดการแบ่งโซนกันดูแล ราวกับยกเป็นสัมปทานของพระรูปนั้น กุฏินี้กันเสียที รักษาการเจ้าอาวาสต้องเป็นประธานการประชุมคณะสงฆ์ กำหนดแผนการพัฒนาวัดอรุณราชวราราม ให้เป็นพุทธสถานสำคัญของเมือง ที่บังเอิญมีเรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาผสมผสานอยู่ว่า แค่ไหนอย่างไรจึงเหมาะสม ต้องหยุดการป่ายปีน “พระธาตุประจำเมือง” ได้แล้ว เต็มที่ให้คนขึ้นได้บนฐานไพทีชั้นที่ 1 พอ เสริมกิจกรรมเวียนประทักษิณเข้าไป เป็นบริการ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของคนที่เห็น “เจติยสถาน” คือ สถานที่อันควรเคารพบูชา เป็นแค่สถานที่ท่องเที่ยว ป่ายปีนถ่ายรูปกันตามอำเภอใจ กิจกรรมลอดเตียงพระเจ้าตากก็ควรเลิกไป ไม่ใช่แนวทางของชาวพุทธ เทวรูป พระพุทธรูปทั้งหลายที่เอามาตั้งใหม่ก็ควรย้ายออก เพราะวัดมีทั้งโบสถ์น้อย วิหารน้อย โบสถ์ใหญ่ วิหารหลวง ให้คนไหว้พระอยู่แล้ว แค่จัดแผนที่การเดินเที่ยวให้คนรู้ ให้เป็นระเบียบ ให้สงบ สะอาด สมเป็น “วัดของชาวพุทธ” ก็พอ ไหนจะร้านค้าทั้งหลาย ที่บางคนใช้เก๋งจีนเป็นสถานประกอบการ อันนั้นก็ควรจัดระเบียบเสีย อย่าเที่ยวผ่อนปรนว่าเป็นโยม เป็นศิษย์ แล้วหยวนๆ กันไปให้คนติฉิน อะไรรกเรื้อรุงรัง จัดการเสียให้เป็นระเบียบสะอาดตา
ขอเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันว่า การจัดการของวัดอรุณราชวรารามที่ผ่านมา ไม่ได้มีปัญหาถึงขั้นเลวร้าย-เลวทราม การดำเนินการ
บูรณปฏิสังขรณ์ก็เป็นไปตามหลักวิชาการทุกประการ แต่ฝีมือที่บกพร่องนั้น มีจริงในบางจุด ซึ่งไปช่วยกันสอดส่องแก้ไขให้สร้างสรรค์กันดีกว่า อย่าบั่นทอนด้วยเสียงก่นด่าที่หยาบคายร้ายกาจเกินไปนัก
รัก ห่วง หวงแหนนั้นดีแล้ว แต่จงเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย “ความรู้” และ “โยนิโสมนสิการ” !!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี