วันพฤหัสบดี ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / คอลัมน์ / คอลัมน์การเมือง / ปรีชา'ทัศน์
ปรีชา'ทัศน์

ปรีชา'ทัศน์

วันศุกร์ ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2561, 02.00 น.
(ตอนที่ 4) ผลของการปฏิวัติที่รุ่งโรจน์ในอังกฤษ (ค.ศ. 1688)

ดูทั้งหมด

  •  

การปฏิวัติ ค.ศ.1688-1689 ได้ชื่อว่าเป็นการปฏิวัติที่รุ่งโรจน์ และในทัศนะของนักประวัติศาสตร์ การปฏิวัติครั้งนี้ น่าจะเป็นการตอกย้ำและขยายความแนวทางการปกครองของอังกฤษจากอดีตมาจนถึงขณะนั้น คือ มีลักษณะของความเป็นวิวัฒนาการมากกว่าการปฏิวัติ

สภาคอนเวนชั่นที่พระเจ้าวิลเลียมเชิญมาประชุมได้ออกประกาศเรื่องสิทธิของชาวอังกฤษ ค.ศ.1689 ซึ่งนอกจากตอกย้ำสิทธิเสรีภาพและการรักษากฎหมายของอังกฤษแล้ว ได้กำหนดว่า ในอนาคต กษัตริย์อังกฤษต้องมีศรัทธาเชื่อถือลัทธินิกายโปรเตสแตนท์แบบอังกฤษที่เรียกว่า “แองกลิคัน” เงื่อนไขดังกล่าวเป็นเงื่อนไขใหม่ เพราะในอดีตความเชื่อถือทางศาสนาเป็นเรื่องส่วนพระองค์ แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชาวอังกฤษประสบปัญหาการขัดแย้งทางศาสนารุนแรง จึงต้องกำหนดเงื่อนไขใหม่ และในการกราบทูลเชิญเจ้าชายวิลเลียมขึ้นครองราชย์ ก็มีเงื่อนไขที่ต้องจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ดังกล่าว การปฏิวัติครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำอำนาจของรัฐสภาในบทบาทการแต่งตั้งกษัตริย์และเป็นการปฏิวัติหลักการดั้งเดิมของการสืบสันตติวงศ์ทางสายพระโลหิต ที่พรรคทอรีเชื่อถือมาตลอด


ขณะเดียวกัน ก็มีการออกพระราชบัญญัติขันติธรรม(Toleration Bill)ตามข้อเสนอฝ่ายทอรี ยินยอมให้ผู้นับถือนิกายโปรเตสแตนท์อื่นๆ นอกแนวจากลัทธิแองกลิคันของอังกฤษ สามารถกระทำได้ (ยกเว้นพวกแคทอลิคและยูนิตาเรียน) ขณะเดียวกันลัทธิแองกลิคันยังคงมีบทบาทควบคุมการศึกษาและการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนผู้นับถือนิกายอื่น ไม่มีสิทธิเข้ารับราชการหรือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

นอกจากนั้น รัฐสภายังกำหนดวาระสมัยรัฐสภาไว้สามปี เพื่อให้มีการประชุมบ่อยๆ (หรือการเลือกตั้งทุกๆ สามปี) รวมทั้งออกพระราชบัญญัติ “Mutiny Act” บังคับให้รัฐสภามีบทบาทสำคัญในการควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายของกองทัพทุกปี (ป้องกันมิให้มีกองทัพ “ถาวร” เพราะกลัวการยึดอำนาจ)

และประการสุดท้าย ซึ่งสำคัญมาก ได้แก่ การออกพระราชบัญญัติว่าด้วยพระราชอำนาจ (Act of Settlement, 1701) เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้พิพากษา โดยกำหนดให้ชัดเจนว่า ผู้พิพากษาเป็นอิสระ ไม่อยู่ใต้พระราชอำนาจของกษัตริย์ และจะพ้นจากตำแหน่งได้โดยผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเท่านั้น

โดยสรุป บทบัญญัติเหล่านี้ส่วนใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาที่ชาวอังกฤษได้ประสบมาจากภาคปฏิบัติ ผสมกับหลักการทั่วไปที่ยึดโยงกับหลักการการเมือง/การปกครอง/และหลักการทางศาสนาที่สังคมเชื่อถือ และที่น่าสังเกต คือ ออกเป็นพระราชบัญญัติปกติในแต่ละฉบับ ไม่ได้รวมไว้เป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการแก้ไข นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่อาจไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เกิดขึ้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และยอมรับกันในสังคมการเมืองเสมือนหนึ่งเป็นมาตรการทางกฎหมาย และเรียกกันว่า “Convention” (ธรรมเนียมปฏิบัติ) ซึ่งจะวิวัฒนาการตามจังหวะเวลาและโอกาส เช่น ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ซึ่งไม่เคยมีกฎหมายรองรับ แต่จะมาจากธรรมเนียมปฏิบัติจาก เซอร์ โรเบิร์ต วอลโปล (Walpole) ซึ่งพระเจ้ายอร์จที่ 1 ทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เป็น “First Lord of the Treasury” (รัฐมนตรีคลัง) เมื่อ ค.ศ.1721 เป็นรัฐมนตรีที่บุคลิกสามารถเป็นที่ยอมรับของรัฐมนตรีท่านอื่นๆ รวมทั้งสามารถควบคุมเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาได้ดี ประกอบกับพระเจ้ายอร์จที่ 1 ทรงมีเชื้อสายเยอรมันที่ขุนนางทั้งฝ่ายวิกส์และทอรีอัญเชิญจากแฮนโนเวอร์ ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษ ค.ศ.1714 พระองค์ไม่สันทัดในการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยใช้ภาษาอังกฤษ จึงมักมอบหมายให้วอลโปลดำเนินการในนามพระองค์ วอลโปลอยู่ในตำแหน่งนานถึง 21 ปี จาก ค.ศ.1721-1742 จึงได้รับขนานนาม “Prime Minister” นายกรัฐมนตรี ซึ่งกลายเป็นชื่อที่เรียกหัวหน้าคณะรัฐมนตรีมาทุกยุคทุกสมัยจนปัจจุบัน โดยไม่เคยมีกฎหมายกำหนดชื่อดังกล่าว

นอกจากนั้น ควรจะกล่าวไว้ด้วยว่า ระบบรัฐสภาที่ขุนนางและชนชั้นผู้ดีชนบทและในเมืองคุมเสียงส่วนใหญ่ ก็ยังมิใช่ระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีสิทธิในการเลือกตั้ง
สมาชิกรัฐสภา ต้องทอดเวลาไปอีกศตวรรษกว่าจึงจะเกิดการขยายสิทธิเลือกตั้งไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทและให้แก่ชนชั้นกลางในเขตเมือง ตลอดจนการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เมืองอุตสาหกรรมใหม่ๆ ในภาคกลางได้มีผู้แทนราษฎร (พระราชบัญญัติปฏิรูปฉบับ ค.ศ. 1832) และต่อมาใน ค.ศ. 1868 ก็ขยายสิทธิให้แก่กรรมกรในเขตเมือง ส่วนกรรมกรในเขตชนบทได้รับสิทธิดังกล่าวใน ค.ศ. 1885 และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรัฐสภา ในต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อสภาขุนนางได้กลายเป็นช้างเท้าหลัง มีอำนาจเพียงยับยั้งพระราชบัญญัติต่างๆ เท่านั้น ส่วนพระราชบัญญัติงบประมาณ/การเงินต่างๆ สภาขุนนางไม่มีอำนาจจะพิจารณาแต่อย่างใด นับว่าเส้นทางวิวัฒนาการ (และการปฏิวัติ) ทางการเมืองของอังกฤษได้ดำเนินมาถึงจุดหมายปลายทาง และจะไปต่ออย่างไรก็ยังยากที่จะคาดคะเน

ประเด็นที่ใคร่หยิบยกขึ้นพิจารณาก่อนจบบทความก็คือ มีปัจจัยใดที่ส่งเสริมให้อังกฤษบรรลุเป้าหมายก่อนประเทศอื่นๆในยุโรปเช่น ฝรั่งเศส ทำไมอังกฤษจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองแม่แห่งระบบรัฐสภา

ฟูกูยามา ได้ตั้งข้อสังเกตในหนังสือของท่าน ใจความว่า ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันตกของแม่น้ำเอลเบก็จะมีสภาฐานันดร (Estate-Generale) เช่นเดียวกับอังกฤษแต่ทำไมสภาฐานันดรอังกฤษจึงวิวัฒนาการกลายเป็นระบบรัฐสภาที่เข้มแข็ง สามารถต่อกรกับอำนาจของกษัตริย์ได้

คำตอบหนึ่งก็คือ ในอังกฤษมีความสมดุลระหว่างพลังอำนาจของฝ่ายขุนนางกับพลังอำนาจของฝ่ายกษัตริย์ ขณะที่ในฝรั่งเศสหรืออาณาจักร เช่น ฮังการี และโปแลนด์ ขาดความสมดุลแห่งอำนาจ สำหรับฝรั่งเศส มีการประชุมสภาฐานันดรครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ.1614 และหลังจากนั้น ไม่เคยมีอีกเลยจนกระทั่ง ค.ศ. 1789 ซึ่งเมื่อมีการประชุมครั้งนี้ ก็นำไปสู่การปฏิวัติ

เหตุผลหนึ่งที่ฟูกูยามาอ้างถึง ก็คือ กษัตริย์ฝรั่งเศสก่อนพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 และโดยเฉพาะพระองค์มีวัตถุประสงค์จะรวมอำนาจไว้ส่วนกลางให้มากที่สุด พระองค์จึงทรงอ้างว่า “รัฐคือตัวข้าพเจ้า” และด้วยเป้าหมายนี้ เป้าหมายที่จะเป็นใหญ่ในยุโรป จึงก่อสงครามหลายครั้ง ฉะนั้น ค่าใช้จ่ายจึงมหาศาล และวิธีจัดหารายได้ของพระองค์วิธีหนึ่งก็คือ การขายตำแหน่งและฐานันดรให้แก่ชนชั้นกลางผู้มีทรัพย์ ทำให้เกิดขุนนางรุ่นใหม่ จึงเกิดความแตกแยกในชนชั้นขุนนาง นำไปสู่ความอ่อนแอของชนชั้นนี้โดยปริยาย นำไปสู่การว่างเว้นการประชุมสภาฐานันดรดังกล่าว นั่นคือคำอธิบายในประการแรกและคงมีเหตุผลอื่นๆ อีกแน่นอน

สำหรับวิวัฒนาการของการเมืองอังกฤษ ชนชั้นขุนนางน่าจะรวมตัวกันได้ดีกว่าฝรั่งเศส โดยเฉพาะในยุคเริ่มต้น ในศตวรรษที่ 11-12 ขุนนางเข้มแข็งมาก ก่อกบฏก็หลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม กษัตริย์นอร์มันจากพระเจ้าวิลเลียม ถึงพระเจ้าเฮนรีที่ 1 ก็ทรงมีนโยบายพึ่งพิงศาสนาให้เป็นปัจจัยถ่วงดุลกับขุนนาง ตลอดจนทรงพยายามเข้าถึงชนชั้นอัศวิน (Gentry) ในชนบท และราษฎรทั่วไป โดยการจัดตั้งศาลของพระราชาในมณฑลต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ราษฎรทั่วไป ไม่ต้องไปพึ่งศาลขุนนาง ซึ่งมีอิทธิพลต่อการปกครองในระดับท้องถิ่นอยู่แล้ว

และที่สำคัญ กษัตริย์นอร์มันยังส่งเสริมให้เกิดเมืองต่างๆ ให้กฎบัตรเพื่อปกป้องเสรีภาพของชาวเมือง ทำให้เกิดชนชั้นกลางในอนาคตเพื่อรักษาความสมดุลแห่งอำนาจในชนบท

นอกจากนั้น ปัจจัยที่สำคัญซึ่งในสังคมไทยอาจจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็น ก็คือ ตั้งแต่ยุคแซกซอน และสืบต่อมาถึงยุคนอร์มัน มีระบบที่เรียกว่า “Shire-moot” (County Court), และ “Hundred-moot” (District Court) เป็นที่ประชุมของชาวชนบทในระดับมณฑล และระดับตำบล ซึ่งจัดให้มี 2 ครั้งต่อปี โดยมีขุนนางผู้ใหญ่เป็นองค์ประธาน และต่อมาสมัยราชวงศ์นอร์มัน ก็ทรงแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ ที่เรียกว่า “Shire-Reeve” (ต่อมาคือ Sheriff) มาเป็นผู้ประสานงาน องค์กรดังกล่าวทำหน้าที่เป็นศาล และต่อมาก็เป็นที่ประชุมเพื่อเลือกตั้งผู้แทนมณฑลไปประชุมรัฐสภาในส่วนกลาง จะเห็นได้ว่า ชาวชนบทระดับชนชั้นผู้ดี/และทั่วไป มีความคุ้นเคยกับกิจการสาธารณะมาหลายศตวรรษแล้ว ฉะนั้น ระบบรัฐสภาจึงอยู่ในสายเลือดของชนชาตินี้ และนี่คือประสบการณ์ที่สังคมไทยขาดแคลน ประชาธิปไตยจึงอ่อนแอ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  
  • Breaking News
  • ข่าวยอดนิยม
  • คอลัมน์ฮิต
13:55 น. 'ภูมิธรรม'ย้ำแล้วย้ำอีก!! ปลดล็อก'โป๊กเกอร์'เพื่อการกีฬา หวังจัดแข่งระดับสากล
13:51 น. 'ภูมิธรรม'รับฟัง ทหารชายแดนใต้ร้องเยียวยาเทียบเท่าเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา"
13:45 น. พิพิธภัณฑ์เด็กกทม.1 จตุจักร ชวนมาเป็นนักสำรวจตัวจิ๋ว สัปดาห์วิทยาศาสตร์ 12-17 ส.ค.นี้
13:40 น. ‘ภูมิธรรม’มอบนโยบายมหาดไทย ลั่นไม่ได้ข่มขู่-อำนาจบาตรใหญ่ แต่มีแกะดำมาเป็นราชการ​
13:38 น. ไม่ใช่ความผิดรัฐบาล! ‘ธีรรัตน์’โยนบาปเป็นความผิดพลาดของ‘จ.อุบลราชธานี’
ดูทั้งหมด
'อ.ธรณ์'จับโป๊ะ! โพสต์แฉภาพฝูงแร้งกินศพชายแดนไทย-กัมพูชา เอารูปแร้งหิมาลัยมามั่วนิ่ม
'ต้นหอม'ไมเกรนพุ่งปรี๊ด! หลังหุ้นส่วน'บอย ภิษณุ'ออกมาแฉยับ ลั่นชาวเน็ตอยู่ข้างคนชนะพอ
สายใยแห่งมิตรภาพ! หน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์สหรัฐฯ ร่วมอาลัย'จ่าสิบเอก อโณทัย ป้องแก้ว'
'สิงคโปร์'มองเหตุปะทะไทย-กัมพูชา สะท้อนความล้มเหลวของผู้นำ
กองทัพภาค 2 แจงเหตุ ทหารกัมพูชา 5 นาย เข้ามาตัดลวดหนาม ตลาด‘ช่องอานม้า’ ที่ฝ่ายไทยกางไว้
ดูทั้งหมด
ไปถกกันเรื่องสันติภาพที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ
เผาศพนางกอมบาวก์
ฮุนเซนอยากได้อะไร แอบตกลงกับใคร? ‘เคลื่อนแนวอธิปไตยทางบก เพื่อปรับแนวเส้นฐานทะเล’
ไส้ศึก
บุคคลแนวหน้า : 7 สิงหาคม 2568
ดูทั้งหมด

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

'ภูมิธรรม'ย้ำแล้วย้ำอีก!! ปลดล็อก'โป๊กเกอร์'เพื่อการกีฬา หวังจัดแข่งระดับสากล

‘ภูมิธรรม’มอบนโยบายมหาดไทย ลั่นไม่ได้ข่มขู่-อำนาจบาตรใหญ่ แต่มีแกะดำมาเป็นราชการ​

ไม่ใช่ความผิดรัฐบาล! ‘ธีรรัตน์’โยนบาปเป็นความผิดพลาดของ‘จ.อุบลราชธานี’

ยังไม่ย้าย! บุรีรัมย์ยันใช้สนามเดิมแข่งทั้งฤดูกาล

ทหารเรือจับชาวกัมพูชาต้องสงสัยคาชุดคล้ายทหารโผล่ในวัดคุมตัวส่ง ตร.สอบ

'ภูมิธรรม'รับฟัง ทหารชายแดนใต้ร้องเยียวยาเทียบเท่าเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา"

  • Breaking News
  • \'ภูมิธรรม\'ย้ำแล้วย้ำอีก!! ปลดล็อก\'โป๊กเกอร์\'เพื่อการกีฬา หวังจัดแข่งระดับสากล 'ภูมิธรรม'ย้ำแล้วย้ำอีก!! ปลดล็อก'โป๊กเกอร์'เพื่อการกีฬา หวังจัดแข่งระดับสากล
  • \'ภูมิธรรม\'รับฟัง ทหารชายแดนใต้ร้องเยียวยาเทียบเท่าเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา\ 'ภูมิธรรม'รับฟัง ทหารชายแดนใต้ร้องเยียวยาเทียบเท่าเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา"
  • พิพิธภัณฑ์เด็กกทม.1 จตุจักร ชวนมาเป็นนักสำรวจตัวจิ๋ว สัปดาห์วิทยาศาสตร์ 12-17 ส.ค.นี้ พิพิธภัณฑ์เด็กกทม.1 จตุจักร ชวนมาเป็นนักสำรวจตัวจิ๋ว สัปดาห์วิทยาศาสตร์ 12-17 ส.ค.นี้
  • ‘ภูมิธรรม’มอบนโยบายมหาดไทย ลั่นไม่ได้ข่มขู่-อำนาจบาตรใหญ่ แต่มีแกะดำมาเป็นราชการ​ ‘ภูมิธรรม’มอบนโยบายมหาดไทย ลั่นไม่ได้ข่มขู่-อำนาจบาตรใหญ่ แต่มีแกะดำมาเป็นราชการ​
  • ไม่ใช่ความผิดรัฐบาล! ‘ธีรรัตน์’โยนบาปเป็นความผิดพลาดของ‘จ.อุบลราชธานี’ ไม่ใช่ความผิดรัฐบาล! ‘ธีรรัตน์’โยนบาปเป็นความผิดพลาดของ‘จ.อุบลราชธานี’
ดูทั้งหมด

คอลัมน์ที่เกี่ยวข้อง

คดี พระพิมลธรรม กับ ศาลทหาร

คดี พระพิมลธรรม กับ ศาลทหาร

1 ส.ค. 2568

ศาลทหาร

ศาลทหาร

25 ก.ค. 2568

เพียง ‘ส่อ’ ก็ถูกถอดถอนได้แล้ว

เพียง ‘ส่อ’ ก็ถูกถอดถอนได้แล้ว

18 ก.ค. 2568

กฎหมายในฐานะเครื่องมือจริยธรรม

กฎหมายในฐานะเครื่องมือจริยธรรม

11 ก.ค. 2568

วันชาติอเมริกาในบางแง่มุม

วันชาติอเมริกาในบางแง่มุม

4 ก.ค. 2568

กฎหมายงบประมาณรายจ่ายอาจตกเป็นโมฆะ  กรณีศึกษาการแปรญัตติงบประมาณปี ๒๕๖๕

กฎหมายงบประมาณรายจ่ายอาจตกเป็นโมฆะ กรณีศึกษาการแปรญัตติงบประมาณปี ๒๕๖๕

27 มิ.ย. 2568

ความไม่ชัดเจนในมาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐  และกรณีศึกษาการกระทำฝ่าฝืนในมาตรานี้

ความไม่ชัดเจนในมาตรา ๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ และกรณีศึกษาการกระทำฝ่าฝืนในมาตรานี้

20 มิ.ย. 2568

รัฐบาลกลางกับการอุดมศึกษาสหรัฐ

รัฐบาลกลางกับการอุดมศึกษาสหรัฐ

13 มิ.ย. 2568

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved