ประเด็นการเลื่อนเลือกตั้งออกไป มาพร้อมกับข่าวการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ออกไปอีก 90 วัน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้พรรคการเมืองเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง หากบังคับใช้กฎหมายแล้ว แต่ยังไม่พร้อม อาจทำให้เกิดปัญหาได้ นำมาซึ่งคำถามของสังคมที่ไม่ใช่แค่นักการเมืองที่สงสัย แต่ยังรวมถึงนักวิชาการ พ่อค้า นักธุรกิจที่กำลังประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจในตอนนี้ ว่า ตกลงแล้วนายกฯจะไม่ให้เลือกตั้งปีนี้ ใช่หรือไม่?ทางซีกฝ่ายพรรคการเมืองเดิมมองว่า หากคิดจะให้พรรคการเมืองเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ แต่เหตุใดยังไม่ปลดล็อกให้ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หรือประเด็นอยู่ที่ต้องการจะไม่ให้ปลดล็อก นอกจากนั้น ฝ่าย 3 พรรคใหญ่ เดิมก็ประสานเสียง ต่อประเด็นสงสัยว่า ความพร้อม ไม่พร้อมของพรรคการเมือง เอาพรรคเดิมเป็นตัวตั้ง หรือเอาพรรคการเมืองใหม่เป็นตัวตั้ง แต่ปัญหาการเลื่อนเลือกตั้งรอบนี้ ปัญหาของนักการเมืองถือเป็นส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับปัญหาเศรษฐกิจของประชาชนทั้งประเทศและวิกฤติที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าพ่อค้านักธุรกิจหรือกลุ่มทุนที่อยู่นอกวงโคจรของรัฐบาลนี้ ซึ่งอาจกำลังกลายเป็นวิกฤติระหว่างกลุ่มทุนที่สนับสนุนรัฐบาลกับกลุ่มทุนที่อยู่นอกวงโคจร
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดปัญหาระหว่างกลุ่มทุนกับการเมือง ในอดีตกลุ่มทุนกับการเมืองมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องหรือสลับขั้วไป-มา ในเชิงพึ่งพิงตลอด หากแต่ในระยะหลัง เราจะพบความเปลี่ยนแปลงบางอย่างของบทบาทกลุ่มทุนที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆและอาจกลายเป็นผูกขาด โดยก่อนการเลือกตั้งปี’44 กลุ่มนายทุนนักธุรกิจไทย มักไม่เปิดเผยตัวเองว่า สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชัดเจน แต่เป็นการสนับสนุนทุกๆ ฝ่ายอย่างทั่วถึง เพราะไม่ว่าฝ่ายใดชนะเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาล กลุ่มนายทุนเหล่านี้จะได้รับประโยชน์ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้กลุ่มทุนนักธุรกิจจึงมักจะสนับสนุนทั้งพรรคการเมืองและข้าราชการระดับสูงในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจตัวเอง ถึงขนาดที่บางกระทรวงมีการวางตัวอธิบดีสายธุรกิจต่างๆ ไว้ และหลายกระทรวง ผู้กำหนดนโยบายมีอำนาจปรับเปลี่ยนกฎระเบียบของกระทรวงเพื่อเอื้อให้เกิดความได้เปรียบในการทำธุรกิจของกลุ่มทุนที่สนับสนุน
จนกระทั่งการเลือกตั้งปี’44 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกหลังวิกฤติเศรษฐกิจ’40 เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งผู้มีอำนาจทางการเมือง และผู้ที่ได้เปรียบในทางธุรกิจเป็นทุนเดิม ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในที่สุด โดยการเลือกตั้งครั้งนี้กลุ่มทุนที่ได้เปรียบหลังวิกฤติเศรษฐกิจ ได้ลงขันกันจัดตั้งพรรคการเมือง มีศูนย์กลางหลักอยู่ที่กลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างบางส่วน รวมไปถึงกลุ่มทุนธุรกิจอุปโภคบริโภค แม้จะเป็นพรรคการเมืองใหม่ แต่พบว่า ผู้สมัครสส.เป็นอดีตสส.หน้าเดิมจำนวนมากที่มาจากการกวาดต้อนรวบรวมจากหลายพรรคที่อยู่ในสภาเดิมก่อนปี’44 จนชนะเลือกตั้ง นำไปสู่การผูกขาดอำนาจการเมือง และอำนาจในการกำหนดนโยบาย เอื้อกลุ่มทุนของตัวเองโดยตรง ใช่หรือไม่?
แต่สาเหตุที่สามารถเป็นแม่เหล็กดึงดูอดีตสส.หน้าเดิมได้มากมาย ก็ด้วยเพราะการระดมทุนก้อนใหญ่ของเหล่าบรรดานักธุรกิจที่ครั้งนี้ผันตัวมาเป็นนักการเมืองเสียเอง ทั้งในตำแหน่งระดับกรรมการบริหารพรรค ลงไปถึงตำแหน่งทางการเมืองที่ตั้งขึ้นภายหลังใช่หรือไม่?
กลุ่มทุนอสังหาฯขนาดใหญ่ ถือเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของพรรคเครือข่ายระบอบทักษิณ ตั้งแต่รุ่น 1 จนถึงรุ่น 3 ก็ยังคงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ในช่วงระบอบทักษิณมีอำนาจ กลุ่มทุนนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดหลักทรัพย์ จนถึงสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ รวมถึงมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจบางอย่างในรัฐบาลระบอบทักษิณ และไม่ว่าจะเกี่ยวกันหรือไม่ แต่ทำให้กลุ่มอสังหาฯดังกล่าวที่เกาะกับพรรคระบอบทักษิณ มีอัตราการเติบโตของบริษัทต่อเนื่อง โดยเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก ทุกปี ขยายกิจการเติบโตจนไปถึงการก่อตั้งสถาบันการเงินใช่หรือไม่?
กลุ่มทุนสินค้าอุปโภคบริโภคบางราย ที่ทำธุรกิจอีกหลายอย่าง รวมถึงธุรกิจเหล็ก ที่ก่อนหน้าปี’44 ธุรกิจเหล็กประสบปัญหาติดลบอย่างหนัก แต่หลังจากร่วมเป็นผู้ก่อตั้งพรรค และชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่ก็ตาม แต่ธุรกิจฟื้นตัวจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะอะไร? นอกจากนี้กลุ่มทุนใดก็คงไม่ยิ่งใหญ่และสำคัญเท่ากลุ่มทุนโทรคมนาคม ที่นอกจากกิจการในครอบครัวผู้ก่อตั้งพรรคเบอร์ 1 แล้ว ก็มีกลุ่มทุนพันธมิตรโทรคมนาคมบางรายเข้าร่วมด้วย เมื่อเลือกตั้งชนะก็ได้กินตำแหน่งในครม. จะเกี่ยวหรือไม่? แต่ธุรกิจก็ฟื้นขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน
หากแต่ที่สำคัญที่สุดคือ ธุรกิจกลุ่มทุนของผู้ก่อตั้งพรรค ที่เริ่มต้นหลักคือธุรกิจโทรคมนาคม และต่อมายังต่อยอดไปถึงธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบิน การเข้ามาของระบอบทักษิณ ไม่ได้เพียงแต่ตำแหน่งในทางการเมือง แต่มาพร้อมอำนาจการปรับเปลี่ยนตั้งแต่กฎหมายระดับ พ.ร.บ. พ.ร.ก. ไปจนถึงประกาศฯ และถึงขนาดแก้สัญญาสัมปทานก็ทำมาแล้ว ใช่หรือไม่? ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าธุรกิจโทรคมนาคมมีเพียงไม่กี่เจ้าในประเทศ ผู้ได้ประโยชน์ต่อหนึ่งสัญญาคือใคร? ผู้ได้ประโยชน์ต่อการแก้ไขกฎหมายคือใคร? หรือในบางครั้งก็ยังหาความจำเป็นในการออก พ.ร.ก. มากกว่าการออกเป็นพ.ร.บ. ไม่ได้?
ผลการเปลี่ยนแปลงต่อหนึ่งนโยบายดังกล่าว ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ที่เคยเก็บได้ ไม่ว่ารายได้ตามสัญญา หรือเงื่อนไขเปลี่ยนไปทำให้รัฐเสียประโยชน์ รวมถึงรายได้ภาษี จากการประกาศยกเว้นภาษีกิจการดาวเทียมที่ใครๆก็รู้ว่า ไม่ใช่ธุรกิจของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเกี่ยวกันหรือไม่ แต่มูลค่าระดับพันระดับหมื่นล้านที่กิจการบางกลุ่มทุนได้รับไป ก็คือมูลค่าที่ประเทศเสียประโยชน์เช่นเดียวกัน ใช่หรือไม่? ซึ่งเรื่องดังกล่าว คตส. ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญก็ระบุไว้แล้วในคำพิพากษา ใช่หรือไม่?
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การบริหารนโยบายผิดพลาดให้รัฐเสียประโยชน์เท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองนำไปสู่การผูกขาดธุรกิจของกลุ่มทุนการเมืองในเวลาต่อมา จนเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน และนำไปประยุกต์ดัดแปลงในรัฐบาลน้องของระบอบทักษิณใช่หรือไม่? เห็นจากการออกนโยบายจำนำข้าว ที่สุดท้ายกลายเป็นกองผลประโยชน์มากมายในนโยบายจีทูจีที่รัฐต้องสูญเงินมหาศาล เหมือนใช้อำนาจรัฐสร้างนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่แท้จริงคือใช้เงินหลวงซื้อแพงโดยเอาประชาชนบังหน้า แล้วไปขายถูกเอากำไรผ่านพ่อค้าบางคน จนเป็นคดีจีทูจีที่มีการตัดสินไปแล้ว ใช่หรือไม่? อำนาจกลุ่มทุนและกลุ่มการเมืองที่แนบแน่นเป็นกลุ่มเดียว นำมาซึ่งปัญหากี่ครั้งแล้ว?
รัฐบาล คสช.ที่เข้ามาด้วยความหวังของประชาชนให้มาแก้ปัญหาการหาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนการเมืองรัฐบาลก่อนหน้าที่เน่าเฟะมาร่วม 10 ปีตลอดระยะเวลาระบอบทักษิณ หากแต่พอรัฐบาล คสช.บริหารประเทศไปสักระยะ กลับพบรูปแบบที่ดูจะเป็นวิวัฒนาการของกลุ่มทุนการเมืองที่เข้ามากอบโกยประโยชน์ไม่ต่างกับสมัยก่อนหน้า ใช่หรือไม่? มีตัวแทนกลุ่มทุนใดมาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? มีการออกนโยบายที่เกี่ยวกับการกีดกันหรือนำเข้าสินค้าเพื่อเอื้อกลุ่มทุนอุปโภคบริโภคบางรายหรือไม่? มีการออกนโยบายบางอย่างเพื่อเอื้อกลุ่มทุนอสังหาฯบางรายหรือไม่? หรือแม้กระทั่งนโยบายล่าสุดอย่างบัตรสวัสดิการ ที่รัฐต้องใช่เงินหลวงทุ่มลงไป สุดท้ายคนได้ประโยชน์คือกลุ่มทุนบางราย ใช่หรือไม่?
ในท้ายที่สุดถ้าบอกว่าจีดีพีประเทศจะโตขึ้น แล้วทำเป็นหลับตา ไม่ลงไปดูว่าที่โตขึ้น โตขึ้นที่กลุ่มใด ที่จนลง จนลงที่กลุ่มใด คิดแบบนี้ ก็จะไม่ต่างอะไรกับนักเศรษฐกิจในระบอบทักษิณ.....
“...ท่าทางที่ประเสริฐสามารถทำให้ศัตรูประเมินขุมกำลังท่านต่ำทรามไป
ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เพาะศัตรู...”
คำคมโกวเล้งจากเรื่องดาวตก ผีเสื้อ กระบี่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี