ปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยไม่เคยกำจัดให้หมดสิ้นไปได้คือ “คอร์รัปชั่น” หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง
ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งทั้งที่อ้างว่าบริสุทธิ์ หรือถูกจับได้ว่าทุจริตการเลือกตั้ง หรือแม้กระทั่งรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารก็ตาม ก็ยังคงปรากฏว่ารัฐบาลไทยทุกชุดที่ผ่านมานั้นไม่เคยแก้ปัญหาฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยได้ แต่ที่น่าวิตกมากที่สุดคือ กลับกลายเป็นว่าผู้ที่มีอำนาจรัฐจำนวนมิใช่น้อยคือผู้ที่มีพฤติกรรมฉ้อราษฎร์บังหลวง เสียเอง
คนไทยจำนวนไม่น้อยต่างคาดหวังว่าปัญหาฉ้อราษฎร์ บังหลวง น่าจะลดน้อยลงไปได้ เมื่อเกิดการรัฐประหารครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แต่ทว่าความคาดหวังดังกล่าวกับไม่เป็นความจริง แต่ที่เจ็บปวดมากยิ่งกว่าคือกลับพบว่ามีการคอร์รัปชั่นบนแผ่นดินไทยหนักยิ่งไปกว่าเดิม
คนไทยยังจดจำได้แม่นยำว่าหนึ่งในข้ออ้างของการทำรัฐประหารครั้งล่าสุดคือ เพื่อกวาดล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทย แต่แล้วคนไทยจำนวนไม่น้อยก็กลับพบว่าข้ออ้างของผู้ทำรัฐประหารกับความเป็นจริงของสังคมกลายเป็นหนังคนละม้วนไปอย่างสิ้นเชิง
จากผลการสำรวจล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2560 ในประเด็นการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทย โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งใช้กลุ่มตัวอย่าง 2,400 คน โดยเลือกสุ่มจากคนไทยทั่วไป นักธุรกิจ และข้าราชการจากทั่วประเทศ ผลการสำรวจระบุว่าร้อยละ 37 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยเพิ่มมากกว่ากว่าปีก่อนหน้านี้ ส่วนร้อยละ 33 ตอบว่ายังคงเดิม ในขณะที่ร้อยละ 30 เห็นว่าลดลง
ส่วนความเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามในเรื่องสถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศไทยในปีนี้จะเป็นเช่นไร พบว่าร้อยละ 48 ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่าการคอร์รัปชั่นจะเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 27 ตอบว่าจะคงเดิม และร้อยละ 23 ตอบว่าจะลดลง และร้อยละ 2 ตอบว่าไม่มีความเห็นในเรื่องนี้
คนไทยที่มีวิจารณญาณต่างทราบดีว่าใครคือบุคคลที่มีปัญหาการคอร์รัปชั่นมากที่สุด และเห็นตรงกันว่าคนที่สามารถฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้มากที่สุดก็คือผู้มีอำนาจรัฐทุกคนและทุกระดับที่ปราศจากหลักธรรมาภิบาล ปราศจากความโปร่งใส
เมื่อดูดัชนีคอร์รัปชั่น (The Corruption Situation Index : CSI) ของไทยก็พบว่า ในเดือนธันวาคม 2560 ดัชนีอยู่ที่ 52 เมื่อเทียบกับดัชนี CSI ที่สำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2560 พบว่าอยู่ที่ระดับ 53 ซึ่งบ่งบอกว่ามีการคอร์รัปชั่นเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทย ส่วนดัชนีปัญหาและความรุนแรงของการคอร์รัปชั่นในสังคมไทยก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 42 ส่วนครั้งที่วัดก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 44 ส่วนดัชนีการสร้างจริยธรรมและจิตสำนึกต่อต้านคอร์รัปชั่นดีขึ้นกว่าเดิม คือจาก 60 เป็น 62 (หมายเหตุ ดัชนีนี้มีสเกล 1-100 หากตัวเลขดัชนีต่ำคือเข้าใกล้ 1 หมายความว่าสถานการณ์เลวร้าย แต่หากดัชนีเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ 100 หมายความว่าสถานการณ์ดีขึ้น)
ผลการสำรวจยังระบุด้วยว่านักธุรกิจและผู้ประกอบการส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ามูลค่าโดยรวมของการคอร์รัปชั่นจะอยู่ที่ร้อยละ 5-15 ของงบประมาณแผ่นดิน หรือตกประมาณ 6.62 หมื่นล้านบาท และอาจจะสูงถึง 1.98 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีของประเทศร้อยละ 0.41-1.23
คณะผู้สำรวจให้ความเห็นว่ามูลเหตุสำคัญของการคอร์รัปชั่นในสังคมไทยเกิดมาจากการใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อการทุจริต โดยเฉพาะประเด็นการเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีอำนาจรัฐสามารถใช้ดุลพินิจในการพิจารณาและตัดสินปัญหา รวมถึงยังพบว่ามีปัญหาจากการที่กระบวนการทางการเมืองของไทยขาดความโปร่งใส มีการใช้อำนาจรัฐและอำนาจทางการเงินเข้าไปแทรกแซงกระบวนการพิจารณาลงโทษผู้ทุจริต ขาดธรรมาภิบาล ขาดการตรวจสอบและถ่วงดุลของระบบ รวมถึงการมีกฎระเบียบของหน่วยราชการที่ซับซ้อนกันอย่างยุ่งเหยิงและขัดแย้งกันเองจนกลายเป็นการเปิดช่องให้ทุจริตได้ง่าย และที่สำคัญคือพบว่าการบังคับใช้กฎหมายของไทยไม่มีความเข้มงวด
เมื่อได้อ่านผลการวิจัยครั้งล่าสุดนี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดเจนว่าสังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะดูว่าปัญหานี้เบาบางลงไปบ้าง
ในปี 2558 แต่ทว่าสุดท้ายแล้วปัญหาก็กลับมาลุกลามขยายใหญ่ขึ้นอีก ทั้งๆ ที่รัฐบาลคสช.พยายามยืนยันว่าตั้งใจปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น
คณะผู้สำรวจเรื่องนี้จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุด้วยว่า สถานการณ์ของปัญหาคอร์รัปชั่นของไทยเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ และพบว่ามีการจ่ายเงินใต้โต๊ะในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น พบว่ามีอัตราการจ่ายเงินใต้โต๊ะในช่วงปี 2560 อยู่ที่อัตราร้อยละ 5-15 ซึ่งถือได้ว่าสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยเมื่อปี 2558 พบว่าการจ่ายใต้โต๊ะอยู่ที่อัตราร้อยละ 1-15 ซึ่งการจ่ายเงินใต้โต๊ะนั้นสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทย 1-2 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่า World Economic Forum (WEF) จะประกาศผลดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่น (Corruption Perceptions Index) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งต้องรอดูว่าไทยจะติดอันดับที่เท่าไร แต่จากดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของไทยล่าสุดพบว่าไทยมีคะแนน 35 คะแนน ติดอันดับ 101 จาก 176 ประเทศ ซึ่งลดลงจากปี 2558 ที่อยู่อันดับ 76
ข้อมูลทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เป็นความจริงเชิงประจักษ์ที่ได้มาจากการทำวิจัย ส่วนรัฐบาลคสช.จะเชื่อหรือไม่ หรือคนไทยจะเชื่อหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ และประสบการณ์ตรงในด้านคอร์รัปชั่นของแต่ละฝ่าย
แต่ข้อมูลที่ผู้เขียนได้มาจากการพูดคุยกับนักธุรกิจในแวดวงต่างๆ จำนวนกว่า 20 คน ซึ่งได้พบปะและพูดคุยในโอกาสต่างๆ ทำให้ได้ทราบข้อมูลจากปากคำของคนเหล่านั้นว่า ทุกวันนี้ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะหนักกว่ายุคที่ผ่านๆ มา แล้วก็ดูจะเลวร้ายไม่ต่างไปจากยุคที่เรามีรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่ที่น่าหนักใจคือในยุคนี้ดูแล้วเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะจ่ายซ้ำจ่ายซ้อน ให้ไปแล้วก็ยังมาเรียกเก็บอีก บางที่หน่วยเดียวกันเรียกเก็บมาแล้ว ต่อมาอีกไม่กี่วันก็มีคนในหน่วยนั้นๆ เข้ามาเรียกเก็บอีก
ผู้เขียนถามว่า แล้ว(พี่) ให้เขาทำไม ทำไมไม่ฟ้องร้อง หรือร้องเรียนกับหน่วยงานปรามปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งตั้งกันเต็มบ้านเต็มเมือง หรือทำไมไม่ฟ้องโดยตรงไปที่นายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีอ้างมาโดยตลอดว่าต้องการปราบปรามคอร์รัปชั่น แถมยังไปถ่ายรูปทำมือกากบาทต่อต้านคอร์รัปชั่นแล้วหลายครั้ง
นักธุรกิจที่ผู้เขียนพูดคุยด้วยตอบว่า เคยร้องเรียนไปแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แล้วยิ่งทุกวันนี้ก็ไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร เพราะขนาดหน่วยงานดูแลป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับชาติยังทำตัวเป็นไม้หลักปักขี้เลนอยู่เลย ไม่เห็นหรือว่าป.ป.ช.ตอบอย่างไรกับเรื่องนาฬิกาหรูของนายทหารใหญ่ในคสช. โอย! ถ้าป.ป.ช.ตอบแบบนี้แล้ว ก็หมดหวังครับ เราทำได้อย่างเดียวในตอนนี้คือเอาตัวรอดให้ได้ อะไรที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด ก็ต้องกัดฟันทนจ่ายไป แม้จะรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ก็ต้องจ่าย เพราะต้องทำธุรกิจต่อไป เอาไว้วันไหนเลิกทำธุรกิจแล้ว ผมจะป่าวประกาศให้สังคมรับรู้ความเลวร้ายของระบบใต้โต๊ะในสังคมข้าราชการไทย
ผู้เขียนถามต่อไปว่า แล้วในเมื่อ(พี่)ไม่ผิด พี่จ่ายใต้โต๊ะทำไม
ผู้ตอบบอกว่า คุณไม่ทำธุรกิจ คุณไม่เข้าใจหรอก ก็ในเมื่อผู้มีอำนาจรัฐเขาต้องการ แล้วเราจะไปขัดเขาได้อย่างไร ไม่ว่าคุณผิดหรือถูก คุณก็ต้องจ่าย ถ้าผิดมากก็จ่ายมากและจ่ายไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าไม่ผิดก็ต้องจ่าย เพราะเขาจะเอา คุณเข้าใจหรือไม่ คุณไม่เห็นหรือว่าขนาดสังคมจับได้คาหนังคาเขามีหลักฐานชัดเจน เขายังบอกว่าเขาไม่ผิด และเขาก็ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมาตั้งหลายสิบปี ผมก็งงกับคำตอบบ้าๆ ของเขา ผมก็จึงต้องถามตัวเองว่า เอ๊ะ! แล้วพวกผมและประชาชนคนอื่นๆ บนแผ่นดินนี้ไม่เคยทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้างเลยหรือ ทั้งๆ ที่ผมอยู่มาจนอายุจะ 70 ปีแล้ว คุณดูก็แล้วกันว่าสินบน Rolls-Royce คืบหน้าไปถึงไหน เห็นบอกว่ามีหลักฐานเต็มมือ แล้วจับใครได้บ้างเล่า
ผู้เขียนตอบแบบสั้นๆ ว่าคนมีอำนาจรัฐบางคนในสังคมนี้มันช่างเลวบัดซบจังเลยนะครับ(พี่)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี