ปิดฉากหมู่บ้านป่าแหว่ง
ดูท่าทางจะไม่มีใครได้ขึ้นไปใช้เป็นบ้านพักแน่นอนแล้ว
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า เมื่อมีประชาชนคัดค้านโครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ทางรัฐบาลก็รับฟังด้วยเหตุด้วยผล แม้ไม่ได้อนุมัติในยุคนี้ และเริ่มสร้างมาก่อนหน้านี้แล้ว และล่าสุด ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งสำนักงานศาลยุติธรรมและทางจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกองทัพภาคที่ 3 และมณฑลทหารบกที่ 33 ไปพูดคุยร่วมกันวันที่ 9 เมษายนนี้
1. พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า ในขณะนี้จะไม่มีการก่อสร้างต่อ โดยต้องพูดคุยกันก่อน โครงการบ้านพักอาจจะย้ายไปที่อื่น แต่สิ่งที่สร้างแล้วอาจไม่ได้รื้อถอน อาจจะปรับเป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ต่อไป และจะต้องมีการปลูกต้นไม้ที่ถูกตัดไปให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม จะต้องให้คุยกันก่อน สำหรับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า ต้องมีการใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. หรือ มาตรา 44 ในการแก้ปัญหาเรื่องข้อกฎหมายหรือไม่? พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ให้เขาคุยกันก่อน
2. ประเด็นข้างต้น ลองพิจารณาแยกเป็นสองเรื่อง
เรื่องแรก ที่ตั้งโครงการดังกล่าว คงจะไม่ถูกใช้เป็นบ้านพักผู้พิพากษาแน่ๆ แล้ว
อันนี้ น่าจะชัดเจนที่สุด
เรื่องที่สอง ส่วนจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ผู้รับเหมาเข้าไปก่อสร้างบ้านพักจำนวนหลายสิบหลังทิ้งไปเลยหรือไม่ (ขณะนี้สร้างไปแล้วกว่า 95%) อันนี้พลเอกประวิตรเห็นว่าอาจจะไม่รื้อ แต่จะปลูกป่าคืนสภาพเดิม และเปิดให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์
แนวคิดนี้ คงต้องคุยกันก่อน ซึ่งรวมไปถึงว่าจะย้ายโครงการบ้านพักผู้พิพากษาไปอยู่ที่ไหนด้วย
3. ขอเสนอความเห็นไว้ตรงนี้ว่า ในเมื่อรัฐบาล คสช. แสดงเจตนาที่จะรับฟังและได้ยินเสียงของประชาชนที่รักและหวงแหนผืนป่าดอยสุเทพจริงๆ แล้วไซร้ ควรจะนำเสนอทางเลือกแก่ประชาชน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
อย่าคิดเองเออเอง
ไม่งั้นจะเข้าอีหรอบเดียวกับรัฐบาลในอดีตที่คิดวางแผน กำหนดที่ตั้งโครงการ อนุมัติงบประมาณ และจัดจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างให้ดำเนินโครงการนี้
ไหนๆ จะทำดีแล้ว ก็ขอให้เดินให้สุดทาง
ภาครัฐ สามารถจะนำเสนอทางเลิกได้ บอกว่าแต่ละทางมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ยกตัวอย่าง
ทางที่หนึ่ง เก็บสิ่งปลูกสร้างไว้ ปลูกป่า ทำให้ร่มรื่น เปิดให้ประชาชนขึ้นไปใช้ประโยชน์ (คล้ายๆ แบบที่พลเอกประวิตรพูด) แต่จะต้องบอกด้วยว่า มีต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างไร ค่าปลูกต้นไม้ ค่าบำรุงรักษา ค่าดูแลต่อเนื่องผูกพันตลอดช่วงที่ให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์
ทางที่สอง รื้อทิ้งให้หมด แล้วดำเนินการปรับสภาพคืน ปลูกต้นไม้ ให้ประชาชนมาร่วมกันคืนพื้นที่ป่าให้ดอยสุเทพ ร่วมกันดูแล มีความเป็นเจ้าของร่วมกันซึ่งก็ควรจะบอกต้นทุนด้วย เช่น ค่ารื้อถอน ค่าปลูกต้นไม้ ฯลฯ
แล้วเปิดให้มีการพูดคุยกันอย่างชัดเจน ทั่วถึง แล้วประชาชนว่าอย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ควรเอาตามที่ประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจ ซึ่งประเด็นนี้ จะเป็นการเปิดพื้นที่พูดคุยระหว่างรัฐ และประชาชน ในระดับท้องถิ่นที่จังหวัดเชียงใหม่นำร่องให้เป็นรูปธรรมของการร่วมกันแก้ปัญหา จะเรียกว่าแก้ปัญหาแบบ “ประชารัฐโมเดล” หรือ “ไทยนิยมโมเดล” ก็สุดแท้แต่
4. ประการสำคัญ การต้องสูญเสียเงินแผ่นดินสำหรับโครงการนี้
เฉพาะโครงการบ้านพักที่อยู่บนสุด มูลค่าโครงการกว่า 342 ล้านบาท
ถ้ารวมโครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการที่อยู่ระดับต่ำลงมาติดกันด้วย ก็อีก 321 ล้านบาท
นี่คือต้นทุนต่องบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาล คสช. และภาคประชาชนจะต้องได้ตระหนักรู้ร่วมกัน
และไม่ควรจะปล่อยให้สูญเปล่าไปโดยไม่เกิดบทเรียน หรือบรรทัดฐานการจัดการใดๆ
ขอเสนอให้ตรวจสอบ เปิดเผยข้อมูลสำคัญทั้งหมดของโครงการนี้ตั้งแต่ต้น
และหากขั้นตอนใดเข้าข่ายไม่เป็นไปตามระเบียบกฎหมาย ก็ควรดำเนินการเช็คบิล เรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง หรือข้าราชการประจำสังกัดหน่วยงานใดก็ตาม
ยกตัวอย่าง สำหรับโครงการก่อสร้างบ้านพักผู้พิพากษาที่ตั้งอยู่บนสุด (ที่ถูกเรียกว่า หมู่บ้านป่าแหว่ง) ข้อเท็จจริงเบื้องต้นปรากฏว่า สำนักงานศาลยุติธรรม ออกประกาศเชิญชวนเอกชนที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคาจ้างก่อสร้างงานโครงการนี้ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2556
ตั้งงบกลางไว้ที่ 343,461,000 บาท
ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมขณะนั้น ชื่อ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก
ต่อมา มีเอกชนสนใจเข้าซื้อซอง กว่า 20 ราย แต่มีเอกชน 4 ราย ยื่นซองเสนอราคาเป็นทางการ ได้แก่ บริษัท งามวงศ์วานการช่าง จำกัด บริษัท วรนิทัศน์จำกัด บริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์ จำกัด บริษัท แอลที พรอบเพอร์ตี้ จำกัด
สุดท้าย บริษัท พี.เอ็น.เอส.ไซน์ จำกัด เสนอราคาต่ำสุดอยู่ที่ 342,941,000 บาท
ต่ำกว่าราคากลาง 520,000 บาท
ได้เข้าทำสัญญาเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2556
ตกลงราคาครั้งสุดท้ายอยู่ที่ 342,900,000 บาท
ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมขณะนั้น ชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ
นอกจากนี้ ควรเปิดเผยทุกโครงการ และย้อนหลังไปถึงประเด็นการได้มาซึ่งที่ดินที่ตั้งโครงการเจ้าปัญหานี้ด้วย เพราะปรากฏคร่าวๆ แล้วว่า
ปี 2500 กรมที่ดิน ออก นสล.เลขที่ 394/2500 จำนวน 23,787-ไร่ (ที่ผสมพันธุ์ม้า)
ปี 2540 สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ขอแบ่งใช้ที่ดิน 106 ไร่ กองทัพปฏิเสธ
ปี 2547 สำนักอธิบดีผู้พิพากษาฯ ขอแบ่งใช้ประโยชน์พื้นที่ (บางส่วน) ตามผังแปลงที่แนบมาใหม่ จำนวน 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา กองทัพบกให้ใช้จึงทำเรื่องคืนดังกล่าว
มีปมปัญหาว่า หากเป็นที่ซึ่งกองทัพยังไม่เคยใช้ เมื่อคืนหลวงไป จะยังมีสถานะเป็นที่ราชพัสดุ หรือไม่? เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกา 16060/2557 โดยที่เกิดเหตุเป็นที่สงวนไว้ให้กรมราชทัณฑ์ใช้ดำเนินการทัณฑนิคมคลองไผ่ที่สีคิ้ว ศาลฎีกาชี้ว่า เมื่อยังไม่มีการใช้ประโยชน์ ที่เกิดเหตุจึงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ใช่ที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์จึงหาได้มีอำนาจนำที่เกิดเหตุไปให้บุคคลอื่นใช้ประโยชน์ได้ไม่ แต่สำหรับโครงการบ้านพักศาล เชิงดอยสุเทพ ปรากฏว่าในปี 2549 สำนักงานศาลยุติธรรม ขอใช้ที่ราชพัสดุที่อยู่ในความปกครองดูแลของมณฑลทหารบกที่ 33 ในที่ดินแปลงหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ 394/2500 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ทะเบียนราชพัสดุเลขที่ เชียงใหม่ 1723 (เป็นบางส่วน) เนื้อที่ 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา เพื่อดำเนินโครงการ
3 พฤษภาคม 2549 กรมธนารักษ์ ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินราชพัสดุแปลงหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ 394/2500 แก่ สำนักงานศาลยุติธรรม ให้เหตุผลว่า เป็นเพียงการเปลี่ยนการครอบครองตามปกติ ซึ่งทั้ง 2 ตกลงยินยอมกันแล้ว
21 กรกฎาคม 2549 กรมธนารักษ์ ส่งหนังสือ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้ดำเนินการจัดทำหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ ต่อมา กระทรวงการคลังอนุมัติให้ใช้พื้นที่ก่อสร้างโครงการ
2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้รับงบประมาณ เริ่มเปิดพื้นที่ ดำเนินการก่อสร้าง
ควรเปิดเผยข้อมูลที่ขัดเจนทุกขั้นตอน พร้อมทั้งพิจารณาว่า ขั้นตอนไหนเกิดการเล่นแร่แปรธาตุหรือไม่? หรือยัดไส้ต่อเติมหรือไม่? หรือกระทำผิดระเบียบและกฎหมายหรือไม่? ก่อให้เกิดความเสียหายตามมาหรือไม่?
สังคมจะต้องได้เห็นความจริง และเช็คบิลผู้ที่ทำให้เกิดความสูญเสีย (ถ้ามี) จึงจะคุ้มค่ากับเงินหลายร้อยล้านที่จะต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี