เป็นที่น่ายินดี และเห็นควรสนับสนุน เรื่องที่รัฐบาล คสช. กำลังจะปลดล็อก เพื่อเปิดทางให้กับเศรษฐกิจชาวบ้าน เกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์
จะทำให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถสร้างสวนป่า ปลูกป่าไม้มีค่า ที่เป็นพืชเศรษฐกิจราคาแพง ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง เช่น ไม้สัก ไม้พะยูง ชิงชัน ยางนา ฯลฯ
การปลูกสร้างสวนป่าของชาวบ้านเช่นนี้ จะเป็นเงินออมในระยะยาว เป็นสินทรัพย์ที่ชาวบ้านสามารถตัดขายเมื่อต้องการใช้เงิน และมีมูลค่าเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ตามอายุของต้นไม้
1.ก่อนหน้านี้ ปราชญ์ชาวบ้านหลายท่านได้เคยนำเสนอแนวทางการออมเงินผ่านต้นไม้นานแล้ว
ยกตัวอย่าง นายเลี่ยม บุตรจันทา ปราชญ์เกษตรพอเพียง ฉะเชิงเทรา เคยเล่าถึงแนวคิดการปลูกพืชบำนาญ โดยปลูกและดูแลไว้ก็จะสามารถตัดต้นไม้เหล่านี้ขายเมื่อมีอายุมากขึ้น มูลค่าก็จะเพิ่มไปตามอายุที่ผ่านไป เป็นการปลูกต้นไม้ที่เอาไว้กินตอนแก่ เริ่มปลูกไม้ที่เป็นบำนาญประมาณ 50 ต้น ตั้งแต่ปี 2542 เป็นไม้เศรษฐกิจ เช่น มะค่า ตะเคียนทอง ยางนา ฯลฯ พื้นที่ 5 ไร่ สามารถขายได้ต้นละ 1 หมื่นบาท ส่วนพะยูงขายได้ต้นละ 1 แสนบาท ตอนแก่ก็พอดีไม้โต ขายได้ใช้เป็นเงินบำนาญ เดือนละ 2-3 ต้น
2.เรื่องนี้ เสมือนเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ชาวบ้านสร้างการออมไปในตัว
เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเพื่อรับมือสังคมสูงวัย
ลองคิดดู... นี่คือการออมไว้ในต้นไม้
สามารถให้ผลตอบแทนนับร้อยเท่าในระยะเวลา 20-40 ปี
หากวันนี้ ลงทุนลงแรงปลูกต้นไม้เศรษฐกิจ ราคาสูง อาทิ สัก ยางนา พะยูง ฯลฯ เอาไว้ตัดขายในระยะ 20-40 ปีข้างหน้า จากต้นกล้าต้นละไม่กี่สิบบาท เมื่อโตขึ้น อายุ 20-40 ปี จะมีราคาค่างวดแพงขึ้นมาก
ผลตอบแทนสูงกว่าฝากเงินไว้ที่ธนาคาร
ผลตอบแทนสูงกว่าการทำธุรกิจหลายอย่าง
แถมมีความมั่นคงสูง
ที่สำคัญ สร้างผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกต่างหาก
ต้นพะยูง อายุ 6 ปี ความสูง 7-8 เมตร มูลค่าโตไว้กว่าดอกเบี้ย ถ้าปลูกตอนนี้ ถึงวัยเกษียณ ในราวๆ 30 ปีข้างหน้า ก็จะมีค่าต้นละเป็นแสนบาท
ถ้าปลูกไว้ 10 ต้น ก็ได้เงินล้านเป็นบำนาญชีวิต
ถ้าปลูกไว้หลายสิบต้น หลายร้อยต้น ก็สามารถวางแผน ทยอยตัดขายได้ทุกๆ เดือน มีรายได้ทุกๆ เดือน เดือนละหลายแสนบาท
3.ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 3/2561 (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน) มีมติเห็นชอบในหลักการการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ เนื่องจากพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ในมาตรา 7 ได้กำหนดให้ไม้สัก และไม้ยาง รวมถึงไม้ตามประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 อีก 16 รายชื่อ ไม่ว่าขึ้นอยู่ในที่ใดในราชอาณาจักรเป็นไม้หวงห้าม ดังนั้น การทำไม้หรือนำไปใช้ประโยชน์ จึงต้องมีการอนุญาตตามกฎหมายป่าไม้ เกิดผลกระทบตามมาแก่ประชาชนที่มีที่ดินกรรมสิทธิ์ถูกต้อง แต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากไม้เศรษฐกิจบางชนิดได้
กขร. เห็นว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้เศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือที่ดินที่มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย และช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจให้กับประเทศ จึงมีมติตามที่กรมป่าไม้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าในที่ดินกรรมสิทธิ์ โดยให้พิจารณาให้มีระบบกำกับ ควบคุม ตรวจสอบย้อนกลับ การรับรองไม้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่ออำนวยประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ
หากทำสำเร็จ จะถือเป็นการปลดล็อกกฎหมายที่ใช้มานานกว่า 70 ปี เปิดทางให้ชาวบ้านและชุมชนสามารถปลูกป่าไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเอง โดยเฉพาะ ไม้พะยูง ชิงชัน ยางนา ไม้สัก
หลังจากนี้ ต้องพิจารณาว่า ไม้ชนิดไหนบ้างที่จะอนุญาตให้ปลูกและตัดได้ รวมทั้งออกแบบระบบติดตามควบคุมเพื่อป้องกัน มิให้เกิดการรั่วไหล หรือสร้างผลกระทบในทางไม่พึงประสงค์ต่อไปด้วย
หากมีความชัดเจนแน่นอนในเรื่องนี้ เชื่อแน่ว่า จะเกิดแรงจูงใจในทางบวก และสร้างความมั่นคงในชีวิตของชาวบ้านได้อย่างมากมาย โดยที่รัฐบาลแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ยิ่งถ้าต่อยอดต่อไป ด้วยการรับรองไม้มีค่าเป็นเสมือนทรัพย์สินอย่างหนึ่ง เหมือนเป็นรถยนต์ อาคาร สินค้าของผู้ครองครองกรรมสิทธิ์ สามารถจะนำไปจำนำ จำนอง หรือประกอบธุรกรรมทำธุรกิจต่อไปได้ ก็จะยิ่งเป็นการปลดล็อกเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญ
ชาวบ้านในต่างจังหวัดจะมีความมั่นคงในชีวิตได้ก็งานนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี