ประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งที่ความลับมากมาย ความลับบางเรื่องถูกปิดลับและถูกซ่อนเร้นมาโดยตลอด จนประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ไม่สามารถล่วงรู้ความจริงได้แม้แต่น้อย ไม่ว่าวันเวลาจะล่วงผ่านไปนานสักเพียงใด เรื่องที่ควรจะเปิดให้กระจ่างเป็นระยะๆ ต่อสาธารณะ แต่กลับมีผู้จงใจทำให้เป็นความลับดำมืดต่อไป ดังนั้นจึงทำให้เกิดคำถามว่า ประชาชนไทยมีสิทธิ์จะรู้ความลับของประเทศที่พวกเขาถูกระบุว่าเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือไม่
เอกสารลับ “มุมเหลือง มุมแดง มุมน้ำเงิน”
ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 ซึ่งออกมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย กำหนดชั้นความลับเอกสารราชการไว้ 3 ระดับ คือ เอกสารลับที่สุด (มุมเหลือง) เอกสารลับมาก (มุมแดง) และเอกสารลับ (มุมน้ำเงิน) แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารนั้นๆ ยังสามารถปรับเพิ่มหรือลดชั้นความลับของเอกสารได้ด้วย
การจัดลำดับชั้นความลับของเอกสารราชการในประเทศไทยมีมานานประมาณ 40-50 ปีแล้ว ซึ่งเป็นอำนาจของหน่วยงานเจ้าของเรื่องจะเป็นผู้กำหนด แต่เมื่อวันเวลาล่วงผ่านพ้นไปถึงระยะเวลาหนึ่ง เอกสารลับต่างๆ ก็จะต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังเช่น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เคยบอกไว้ว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการประกาศยกเลิกชั้นความลับของเอกสารราชการไปหลายเรื่องแล้ว
แต่ถึงแม้จะมีการกำหนดให้ประกาศยกเลิกชั้นความลับของเอกสารราชการได้ตามระเบียบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เอกสารราชการที่ถูกระบุว่าอยู่ในชั้นความลับมาก หรือเอกสารลับมาก ที่หลายคนเรียกว่าเอกสารมุมแดง ซึ่งเอกสารชนิดนี้ถูกวิจารณ์มาโดยตลอดว่าจะไม่มีวันถูกเปิดเผยรายละเอียดให้สาธารณชนได้รับรู้เนื้อหาภายในได้เลย โดยส่วนมากเอกสารชนิดนี้จะเกี่ยวข้องกับงบประมาณการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ
แต่หากจะอ้างสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนแล้ว ประชาชนสามารถขอใช้สิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลได้โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลในเอกสารลับได้ตามระยะเวลาที่กำหนด แต่ถึงแม้จะมีพระราชบัญญัตินี้ก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นการใช้สิทธิ์ดังกล่าว โดยการยกข้ออ้างที่ว่าเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ เมื่อมีข้ออ้างเช่นนี้ก็จึงทำให้ประชาชนไม่สามารถรับรู้ข้อความโดยละเอียดในเอกสารลับได้
เอกสารลับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ เรื่องสำคัญที่คนไทยแทบจะไม่มีวันรับรู้
เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดซื้ออาวุธต่างๆ ของกองทัพไทยทุกเหล่าทัพ เรื่องนี้คือเรื่องที่รัฐบาลทุกชุดจะอ้างตรงกันคือ เป็นความลับ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า การซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเรื่องทางยุทธวิธี เป็นเรื่องลับ และใช้เอกสารลับในการพิจารณา ไม่มีรัฐบาลไหนเปิดเผยเรื่องนี้
ดังนั้นข้ออ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐ เรื่องทางยุทธวิธี และเรื่องอาวุธของกองทัพ จึงถูกเหมารวมว่าเป็นความลับสุดยอดของประเทศซึ่งประชาชนทั่วไปไม่มีโอกาสได้รับรู้ ถึงแม้รัฐบาลเกือบทุกชุดจะพยายามบอกว่ารัฐบาลของตนนั้นมุ่งเน้นสร้างความโปร่งใสให้ปรากฏต่อสาธารณะ แต่เมื่อมาถึงเรื่องงบประมาณการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ทุกรัฐบาลก็จะใช้กลอุบายเดียวกันคือ ความลับของประเทศ งบฯ ลับเพื่อความมั่นคง
ดังนั้น ข้ออ้างเรื่องความโปร่งใส ข้ออ้างว่ารัฐบาลต้องการทำให้ทุกอย่างขาวสะอาด ปราศจากการทุจริตฉ้อฉลคอร์รัปชั่นในการจัดซื้อ รวมถึงข้ออ้างเรื่องธรรมาภิบาลของรัฐบาลทุกชุดจึงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่สวยหรู แต่ทว่าในข้อเท็จจริงแล้วก็ไม่ต่างไปจากการโฆษณาชวนเชื่อ น่าอัศจรรย์มากที่รัฐบาลทุกชุดมักจะบอกว่าต้องการให้การจัดซื้อจัดจ้างทุกชนิดในกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ ทุกแห่งโปร่งใส มีคุณธรรม จึงมีการจัดทำพระราชบัญญัติจัดซื้อจัดจ้างขึ้นมาใหม่ แต่ครั้นเมื่อถึงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ก็กลับพบเหมือนเดิมว่า เป็นความลับ เปิดเผยไม่ได้ ไม่มีรัฐบาลไหนเปิดเผยเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นความลับของประเทศเพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของแผ่นดิน
สรุปว่า ถ้าหากเป็นการจัดซื้อจัดจ้างในหน่วยงานหรือในกระทรวงทบวงกรมอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากซื้ออาวุธของกองทัพแล้ว ทุกอย่างจะต้องโปร่งใส แต่ส่วนของกองทัพทุกอย่างจะต้องเป็นความลับ ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม คนไทยที่สนใจเรื่องงบฯ ลับ มิได้จงใจกล่าวหาว่าการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพไม่โปร่งใส แต่เพียงตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นว่า หากต้องการแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการจัดซื้อโดยแท้จริงแล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องเปิดเผยงบฯ ลับของการจัดซื้ออาวุธให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะๆ แม้ในช่วงปีแรกๆ ของการจัดซื้อจะไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป 5 ปี ก็ควรต้องเปิดเผยระดับหนึ่ง ครั้นเมื่อผ่านพ้นไปอีก 5 ปี ก็ควรจะต้องเปิดเผยอีกระดับหนึ่ง จนสุดท้ายเมื่อได้ระยะเวลาที่นานพอสมควร เช่นผ่านพ้นไป 15 ปี ก็ควรต้องเปิดเผยงบฯ ที่ใช้จัดซื้อโดยละเอียด ซึ่งนี่คือวิธีการที่ทำให้ประชาชนรับรู้ได้ว่าไม่มีการจงใจหมกเม็ดหรือฉ้อฉลการใช้งบประมาณของประเทศ
เมื่อรัฐบาลไม่ประกาศให้สาธารณชนรับทราบถึงการตัดสินใจใช้งบฯ สำหรับจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ก็จึงเป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ต้องทำหน้าที่สืบเสาะแสวงหาข้อมูลเรื่องนี้แล้วนำไปเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้
ตัวอย่างที่สื่อมวลชนได้นำเสนอเรื่องการจัดซื้ออาวุธชนิดต่างๆ ของกองทัพ โดยเริ่มตั้งแต่รัฐบาลคสช. ขึ้นมามีอำนาจรัฐเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จนถึงล่าสุด (ข้อมูลที่รวบรวมได้ถึงเดือนเมษายน 2560) พบว่า มีการตั้งงบประมาณจำนวนสูงมากเพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ โดยแบ่งได้ดังนี้
กองทัพบก
ปี พ.ศ. 2558 โครงการจัดซื้อรถถังหลัก VT-4 จากจีนโดยไม่ระบุจำนวน วงเงิน 4,985 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2550 โครงการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi7VS จากรัสเซีย 2 ลำ วงเงิน 1,698 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2559 โครงการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์จากรัสเซีย ไม่ระบุรุ่น จำนวน 4 ลำ วงเงิน 3,385 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2560 โครงการจัดซื้อรถถังหลัก VT-4 จากจีน ไม่ระบุจำนวน วงเงิน 2,017 ล้านบาท
กองทัพเรือ
ปี พ.ศ. 2558 โครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ไม่ระบุรุ่น และจำนวนวงเงิน 2,850 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2558 โครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ไม่ระบุรุ่น จำนวน 4 ลำ วงเงิน 490 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2559 โครงการจัดซื้อเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ไม่ระบุรุ่น จำนวน 5 ลำ วงเงิน 627 ล้านบาท
ปี พ.ศ. 2560 โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ S26T จากจีน จำนวน 1 ลำ วงเงิน 13,500 ล้านบาท
กองทัพอากาศ
ปี พ.ศ. 2560 โครงการจัดซื้อเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่เบื้องต้นจากเกาหลีใต้ จำนวน 8 ลำ วงเงิน 8,997 ล้านบาท
ขอย้ำอีกครั้งว่า การที่สาธารณชนเรียกร้องให้รัฐบาลทุกชุด ต้องเปิดเผยเรื่องงบประมาณการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ มิใช่การจงใจไขความลับของประเทศชาติให้ศัตรูได้รับรู้ แต่เป็นการช่วยเหลือให้รัฐบาลได้รอดพ้นจากข้อสงสัยเรื่องการใช้งบฯ ลับไปในทางฉ้อฉลทุจริต หรือพูดให้ตรงประเด็นก็คือ เพื่อช่วยให้รัฐบาลมีความขาวสะอาดในการใช้งบประมาณของแผ่นดิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี