คนไทยมีความน่ารักหลายอย่างในตัวเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่ารักมากที่สุด (ย้ำว่านี่คือการแดกดัน) คือ คนไทยทนได้กับการอยู่โดยไม่ได้รับรู้ความจริง อยู่ได้แม้กระทั่งรู้ดีว่าถูกหลอกลวง ดังนั้น สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่หาความจริงได้โดยไม่ง่ายนัก เพราะฉะนั้น เรื่องราวเลวร้ายสารพัดจึงเกิดกับสังคมไทยแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำๆ ซากๆ แต่คนไทยก็ยังอยู่ได้ แม้จะอยู่โดยไม่เคยได้รับรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรกับสังคมไทย และเกิดอะไรกับตัวเอง
I am Thai, I’m fine. Thank you. คือประโยคสั้นๆ ที่มักถูกนำไปใช้ล้อเลียน เสียดสีคนไทยจำพวกที่ทนได้กับการที่ต้องอยู่กับความไม่จริง ถามว่าทำไมคนไทยทนอยู่กับความไม่จริงได้ แล้วถามว่าทำไมคนไทยไม่ค้นหาความจริง แล้วถามต่อไปอีกว่า ทำไมคนไทยยอมอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเพราะว่าไทยนี่รักสงบหรือ จริงหรือ แต่การรักสงบ ถือเป็นคนละประเด็นกับการอยู่ในโลกแห่งความหลอกลวง
เราคนไทยอยู่ในสังคมที่ไม่เคยให้ความสำคัญกับความจริงมายาวนานมาก ยาวนานนับศตวรรษ เมื่อสังคมไทยเป็นเช่นนี้ ก็จึงทำให้สังคมนี้เต็มไปด้วยข่าวลือ ข่าวลวง และข่าวเท็จ เพราะยิ่งสังคมไม่มีความจริง ก็ยิ่งทำให้สังคมตกอยู่ในสภาวะแห่งความมืดบอด ความไม่รู้ และความหลอกลวง
เราทุกคนไม่เคยรู้เรื่องจริงๆ ของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เรารู้แค่ว่ามีการต่อสู้ทางการเมือง
แล้วมีคนตายจำนวนมาก แต่เราไม่รู้แน่ชัดว่าใครตายบ้าง ตายไปทั้งหมดกี่ร้อยคน เรารู้ว่ามีการฆ่าฟันเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ แต่ไม่เห็นว่ามีใครต้องถูกลงโทษในฐานะผู้กระทำให้ผู้อื่นต้องเสียชีวิต แต่เราก็ได้เห็นว่าคนบางคนได้มีอำนาจรัฐ หลังจากเหตุการณ์ไม่สงบในบ้านเมืองจบลง แต่เราไม่เห็นว่าผู้มีอำนาจรัฐจะทำความจริงให้ปรากฏในสังคม
ถามว่าทำไมคนไทยจึงทนอยู่กับสภาพแบบนั้นได้ แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือทำไมทนอยู่ได้ตั้งยาวนาน โดยบางคนก็ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคม เพราะภาพที่ปรากฏกับภาพแห่งความเป็นจริง มันเป็นคนละประเด็นกันอย่างสิ้นเชิง
เราได้ยิน ได้เห็นว่าคนบางคนอุปโลกน์ตัวเป็นวีรบุรุษ วีรชน เป็นนักรบโน่นนี่นั่นสารพัดจะอุปโลกน์กันไป แต่ทว่าเราไม่เคยรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยของเรา เราแค่เพียงได้เห็นการฆ่ากัน การเกิดจลาจล การเผาบ้านเผาเมือง เห็นการเกิดเหตุมิคสัญญีกลียุค แต่เราไม่เคยเห็นว่าคนที่ทำให้สังคมไทยลุกเป็นไฟ ถูกนำตัวไปลงโทษตามกระบวนการทางกฎหมาย หรือหลักการยุติธรรม
มาบัดนี้ เราก็พบอีกว่ามีนักโทษชายคนหนึ่งชื่อทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหนีคดีแผ่นดินไปนานประมาณ 17 ปี แต่เมื่อเขากลับมาประเทศไทย เขาไม่ต้องรับโทษทัณฑ์แม้แต่น้อยมิหนำซ้ำ เขายังได้รับอภิสิทธิ์อย่างมากมายมหาศาล ชนิดที่ว่าไม่เคยมีนักโทษอาญาคนไหนได้รับมาก่อน
เฮ้ย! นี่มันอะไรกัน แบบนี้ยังจะอ้างอีกหรือว่าประเทศไทยมีหลักกฎหมาย ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ และปกครองประเทศด้วยโดยยึดหลักความยุติธรรมอย่างเคร่งครัด ประเทศที่มีหลักกฎหมาย และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดมีลักษณะเช่นนี้หรือ
แน่นอนว่า ฝ่ายที่เชิดชูนักโทษชายทักษิณก็อ้างว่านักโทษชายทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะถูกทำรัฐประหาร แต่คนที่เชิดชูนักโทษชายทักษิณกลับไม่ยอมกล่าวถึงความผิดต่างๆ นานาสารพัดชนิดที่นักโทษชายทักษิณจงใจกระทำต่อประเทศไทยและคนไทย
คนที่ไม่ชอบนักโทษชายทักษิณก็มองเฉพาะความผิด ความเลวของนักโทษชายทักษิณโดยไม่มองว่าเขาอาจจะมีส่วนดีอยู่บ้าง ส่วนคนที่ใหลหลงคลั่งไคล้นักโทษชายทักษิณ ก็มองว่านักโทษชายทักษิณดีงามจนไม่มีข้อบกพร่องใดๆ แม้แต่น้อย
อาจไม่ใช่เรื่องผิด (แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องมากนัก) ที่คนบางคน บางกลุ่มจะรักและบูชานักโทษชายทักษิณ แต่คำถามคืออะไรทำให้เขาเหล่านั้นมีความรู้สึกเช่นนั้นกับนักโทษชายทักษิณ แต่ที่น่าตั้งคำถามมากยิ่งกว่าคือ ทำไมจึงไม่มีกระบวนการใดทำให้สังคมไทยเกิดความกระจ่างว่าเหตุใดต้องทำรัฐประหาร ทำรัฐประหารแล้วสังคมไทยดีขึ้นหรือเลวลง ผู้ทำรัฐประหารได้ผลประโยชน์อะไรจากการก่อรัฐประหาร การรัฐประหารส่งผลดีหรือเสียอย่างไรต่อสังคม แล้วก็ยังมีคำถามอีกมากมายว่า ทำไมทำรัฐประหารแล้ว การเมืองไทยก็ยังเลวร้ายไม่ต่างไปจากเดิม หรือบางคนบอกว่าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ฝ่ายที่ถูกทำรัฐประหารก็ชี้หน้าด่าประจานว่าฝ่ายก่อรัฐประหารผิด และเลวทราม ส่วนฝ่ายก่อรัฐประหารก็ชี้หน้าฝ่ายที่ตนเองโค่นล้มว่าเลวทรามต่ำช้า แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าฝ่ายก่อรัฐประหารจะมีปัญญาเปลี่ยนแปลงให้สังคมไทยดีขึ้นกว่าเดิม มิหนำซ้ำ ฝ่ายก่อรัฐประหารก็ยังเข้าไปทำให้การเมืองไทยตกต่ำและเลวร้ายไม่ต่างไปจากการกระทำของนักการเมืองที่ถูกรัฐประหารไป
ส่วนประชาชนไทยก็แตกแยกแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายไม่สามารถมองหน้ากันได้ ไม่สามารถพูดคุยกันได้ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันโดยสมานฉันท์ได้ ต่างฝ่ายต่างมุ่งจะปะทะ ประหัตประหารกันและกัน สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 20 ปี แล้วก็ยังดำรงอยู่เรื่อยมาจนบัดนี้ ถามว่าคนไทยไม่สนใจหาความจริงของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับสังคมไทยบ้างหรือ หรือคิดแค่เพียงต้องการห้ำหั่นประหัตประหารกันเอง เพียงเพราะว่าต่างฝ่ายต่างนิยมชมชอบ และคลั่งไคล้นักการเมืองฝ่ายที่ตนเองหลงใหลเท่านั้น
สภาวการณ์ไทยทนดำเนินมานานหลายทศวรรษ แล้วก็ยังดำเนินต่อไป แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังคงมีไทยทนอยู่ไทยทน ทนได้กับการที่เห็นนักโทษชายทักษิณถูกศาลพิพากษาว่าทำผิด แต่ทว่าไม่ต้องเข้าคุกเข้าตะราง ไทยทน ทนได้กับการยอมให้คนที่จงใจช่วยเหลือนักโทษชายทักษิณสร้างเรื่องโกหกสารพัดชนิด และทนได้กับการถูกหลอกลวงเรื่องอาการป่วยที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อยของนักโทษชายทักษิณ ไทยทน ทนได้กับการถูกหลอกว่านักโทษชายทักษิณพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงของไทย
ไทยทน ทนได้กับการถูกหลอกเรื่องอาการป่วยหนักขั้นวิกฤต ที่ถูกใช้เป็นข้ออ้างด้วยความเท็จเพื่อช่วยเหลือนักโทษชายทักษิณ
น่าสมเพชที่สังคมไทยยอมถูกหลอกพร้อมๆกันทั้งสังคม เราไม่เห็นคนไทยรวมกลุ่มกันไปสอบถาม หรือติดตามหาความจริงเรื่องข้ออ้างความเจ็บป่วยขั้นวิกฤตของนักโทษชายทักษิณ แต่เรายอมให้นักการเมืองโกหกตลอดเวลา เรายอมให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กระทำการใดๆ ตามอำเภอใจเพื่อช่วยเหลือนักโทษชายทักษิณ เราปล่อยให้พวกเขาโกหกตามแต่อยากจะโกหกมาโดยตลอด ถามว่าเรามีสถานะเป็นแค่เพียงคนที่ต้องถูกนักการเมืองหลอกลวงเท่านั้นหรือ หรือว่าสติปัญญาของคนไทยทุกคนมีน้อยกว่านักการเมืองจอมลวงโลก
นอกจากคนไทยทั้งประเทศจะยอมให้ฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐโกหกเรื่องอาการป่วยของนักโทษชายทักษิณแล้ว เรายังพบด้วยว่านักการเมืองไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ต่างก็ยอมให้เรื่องโกหกเช่นนี้ดำเนินต่อไปในสังคมไทย
เราทุกคนที่ตามข่าวนักโทษชายทักษิณเดินทางไปเชียงใหม่ ต้องเห็นเหมือนๆ กันแล้วว่า นักโทษชายทักษิณป่วยหนักจนใกล้ตาย ตามที่นักการเมืองฝั่งที่เชียร์นักโทษชายทักษิณโกหกหรือไม่ การใส่ๆ ถอดๆ เฝือกอ่อนที่คอของนักโทษชายทักษิณ คือเครื่องยืนยันชัดเจนว่านักโทษชายทักษิณป่วยหนักจริงหรือไม่
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประเทศไทยมีนักการเมืองฝ่ายค้านที่ปล่อยให้รัฐบาลโกหกได้ตลอดเวลา และก็น่าเศร้าไม่แพ้กันที่นักการเมืองฝ่ายค้านก็มีพฤติกรรมโกหกมดเท็จไม่ผิดแผกแตกต่างจากรัฐบาล เมื่อนักการเมืองทั้งหมดโกหกเหมือนๆ กัน ก็ไม่ต้องหวังว่าสังคมไทยจะได้รับรู้ความจริงแต่ประการใด
เรื่องนักโทษชายทักษิณไม่ต้องเข้าคุก เป็นเรื่องที่บอกให้สังคมไทยรู้ชัดๆ ว่าการมีอำนาจการเมืองอยู่ในกำมือ ทำให้หลุดรอดจากการต้องได้รับโทษตามคำพิพากษาของศาลได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ส่วนการที่สังคมไทยยอมรับได้เรื่องการจัดฉากสร้างภาพเรื่องอาการป่วยหนักขั้นวิกฤตของนักโทษชายทักษิณ ก็คือเรื่องที่ทำให้สังคมไทยเห็นแล้วว่าเมืองไทยนั้นสามารถใช้อำนาจรัฐทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ผิดให้กลายเป็นเรื่องที่ถูก หรือต่อให้ใครมองว่าทำผิดร้ายแรงสักเพียงใด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ เพราะเมื่อมีอำนาจรัฐแล้ว อำนาจรัฐจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของผู้ยึดกุมอำนาจรัฐได้
สังคมไทยทนได้กับการเห็นว่านักโทษชายทักษิณอ้างว่าป่วยหนักขั้นวิกฤต ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานประมาณ 6 เดือน เพราะเป็นช่วงเวลาที่กำหนดไว้แล้วว่าต้องอ้างเรื่องนี้ยาวนาน 6 เดือน แล้วหลังจากนั้นก็ใช้อุบายเรื่องพักโทษตามมา ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของผู้มีอำนาจรัฐทุกประการ
สังคมไทยรู้ดีว่ามีนักโทษอีกมากที่ป่วยหนักมาก แต่ยังต้องถูกคุมขังไว้ในคุก ไม่มีนักโทษคนใดได้รับอภิสิทธิ์เหมือนนักโทษชายทักษิณ แต่สังคมไทยก็ปล่อยให้นักโทษชายทักษิณลอยนวล สังคมไทยไม่ถามว่าหมอคนไหนเป็นเจ้าของไข้นักโทษชายทักษิณ ไม่ถามแม้กระทั่งเรื่องการรักษาโรค ไม่พยายามค้นหาเอกสารคำวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ให้การรักษาโรคของนักโทษชายทักษิณ
6 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา ผู้มีอำนาจรัฐบอกว่านักโทษชายทักษิณป่วยหนักใกล้ตาย แต่เมื่อเวลาขณะนี้ กลับพบว่าคนที่อ้างว่าป่วยหนักใกล้ตาย กลับออกมากระทำกิจกรรมการเมืองต่างๆ ได้อย่างอิสระเสรี สังคมไทยได้ยินเสมอๆ ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทวี สอดส่อง บอกว่านักโทษชายทักษิณป่วยหนักมาก ต้องได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา แต่ทว่าสังคมไทยกลับไม่เคยได้เห็นผลการวินิจฉัยตรวจรักษา และไม่เคยเห็นแม้กระทั่งกระบวนการรักษา และการให้ยาเพื่อรักษาอาการป่วยหนักที่อ้างกันตลอดเวลา
บัดนี้ เราทุกคนเห็นแล้วว่า นักโทษชายทักษิณที่อ้าวว่าป่วยหนักจนใกล้ตาย มีสภาพร่างกายเช่นไรยังมีใครเชื่ออีกไหมว่านักโทษชายทักษิณป่วยขั้นวิกฤตจริงๆ
นี่คือปรากฏการณ์ที่บอกชัดเจนว่าไทยทนจริงๆ ไทยทนมากๆ ไทยทนให้ถูกหลอกลวงได้ตลอดเวลาเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว เราทุกคนจะมองว่าความเป็นไทยทนน่านับถือ หรือน่าสมเพช และต้องถามทิ้งท้ายว่า ไทยจะทนได้อีกนานแค่ไหน หรือจะทนไปจนกว่าบ้านเมืองจะล่มสลาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี