เมื่อสัปดาห์ก่อน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น ได้ออกมายอมรับ และขอโทษประชาชน ที่ได้บิดเบือนคะแนนสอบเข้าเรียนแพทย์มาถึง 12 ปีแล้ว
บิดเบือนคะแนนเพื่อจะได้รับนักศึกษาชายเข้าเรียนแพทย์ เพราะอ้างว่าผู้หญิงที่เป็นแพทย์ต่อไปก็ต้องแต่งงาน มีลูก แล้วก็ทำหน้าที่แพทย์ได้ไม่มีประสิทธิภาพ
ยิ่งกว่านั้น ยังยอมรับอีกด้วยว่า เคยเพิ่มคะแนนให้แก่นักศึกษาที่ครอบครัวบริจาคเงินให้คณะแพทยศาสตร์ถึง 19 คนมาแล้ว
สำนักข่าว BBC ของอังกฤษ เผยตัวเลขด้วยว่า ในปี 2553 คณะแพทยศาสตร์แห่งนี้มีนักศึกษาหญิง 40% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด แต่ปีปัจจุบันมีนักศึกษาหญิงน้อยมาก จาก 171 คน มีผู้หญิงเพียง 30 คน และ 141 คน เป็นผู้ชาย
1. เห็นข่าวนี้แล้วก็ตกใจ ที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่ มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น ยังมีพฤติกรรมและวิธีคิดที่กีดกันทางเพศ เกรงว่าหากแข่งขันกันอย่างเสมอภาค ผู้ชายจะสอบแข่งขันได้น้อยกว่าผู้หญิง
ซึ่งสะท้อนค่านิยมชายเป็นใหญ่ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ว่ายังคงหลงเหลืออยู่มาก และคงต้องพัฒนาความรู้ความคิดกันต่อไป ว่าควรวัดความสามารถของคนมากกว่าวัดกันด้านเพศ ว่าใครมีจู๋ ใครมีจิ๋ม
2. จำได้ว่า เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ขณะที่ผมดำรงตำแหน่งประธานสภาอาจารย์ ได้รับทราบว่า มีคณะบางคณะในบางมหาวิทยาลัย ใช้วิธีเลือกวิชาสอบแข่งขันเข้าเรียน (สอบเอนทรานซ์) โดยเลือกจากคะแนนในอดีตที่ผู้หญิงได้คะแนนด้อยกว่าชาย เมื่อสอบถามว่าวิชาที่ให้สอบคัดเลือกบางวิชาเกี่ยวอย่างไรกับคณะที่จะศึกษาในมหาวิทยาลัย ก็เลยยอมรับความจริงว่า ต้องการนักศึกษาชายมากกว่าหญิง
วิธีคิด ค่านิยม ก็ไม่ต่างกับญี่ปุ่นเท่าไร เพียงแต่มีเล่ห์เหลี่ยมแบบศรีธนญชัยมากกว่าเท่านั้น
3. ความจริง การเลือกปฏิบัติกีดกันผู้หญิงที่จะเรียนระดับสูงในประเทศไทยเคยมีมาก่อนแล้ว โดยกำหนดเป็นโควตาจำนวนรับเข้าแบ่งตามเพศ เช่น กำหนดรับสมัครแต่เพศชาย กำหนดโควตารับชาย 70% หญิง 30%
หรือแม้แต่รับหญิง-ชายอย่างละครึ่ง ซึ่งดูเผินๆ จะดูว่าเป็นธรรม แต่ความจริงเกรงว่าถ้าแข่งกันที่ความสามารถจะได้ผู้หญิงมากกว่าครึ่ง
4. การบินไทย... เพิ่งจะมีเรื่องฉาวโฉ่ ที่เข้าข่ายเลือกปฏิบัติ เปิดรับสมัครนักบินพาณิชย์ โดยรับสมัครแต่เพศชายเท่านั้น เรื่องนี้ได้มีการนำเข้าสู่การประชุมของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของ Liberal International ซึ่งมีพรรคการเมืองร่วม 100 พรรค จาก 80 ประเทศทั่วโลก
จนพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำหนังสือถึงการบินไทย เมื่อ 6 ส.ค.2561 ให้ทบทวนการรับสมัครในลักษณะนี้
ที่เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งหากจะแข่งขันเปรียบเทียบความสามารถก็กระทำได้โดยไม่ต้องเลือกเพศ
การดำเนินการของการบินไทยเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 4 และมาตรา 27 ที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพหญิง-ชาย โดยไม่เลือกปฏิบัติ และขัดต่อ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ 2558 มาตรา 17 อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น ยังขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ ปฏิญญาสากลว่าด้วยการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) และขัดต่อปฏิญญาปักกิ่ง โดยมติของสหประชาชาติมี 189 ประเทศ ประกาศร่วมลงนามอีกด้วย
ได้รับทราบด้วยความยินดีว่า การบินไทยรับกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปยื่นหนังสือว่าจะทบทวนเรื่องนี้ใหม่ให้ถูกต้อง ไม่กดขี่เพศหญิง
5. พรรคการเมืองในประเทศไทย... พรรคการเมืองจำนวนมากส่งผู้สมัคร สส. ทั้งในระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ ที่เป็นผู้หญิงจำนวนน้อย ต่างอ้างว่าผู้หญิงสนใจที่จะลงสมัครน้อย จะเป็นเพราะขาดประสบการณ์การเมือง ขาดความสามารถเมื่อ
เทียบกับชาย หรือขาดความสนใจ แต่ที่น่าสนใจ คือ เมื่อใดการเมืองเป็นพิษ การบริหารประเทศไม่ถูกต้อง
ผู้หญิงจะเข้าร่วมชุมนุมอย่างแข็งขัน ไม่กลัวบาดเจ็บล้มตายอีกด้วย
เมื่อครั้งผมมีโอกาสร่างรัฐธรรมนูญ 2550 พยายามจะระบุสัดส่วนของผู้สมัคร สส.ให้มีสัดส่วนของเพศตรงข้ามอย่างน้อย 30% ของจำนวน สส.ที่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็ได้เพียงถ้อยคำว่า ให้คำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมเท่าเทียมกันของหญิงและชาย ในที่สุด ก็เลยไม่มีผลในทางปฏิบัติ เพราะพรรคการเมืองต่างอ้างว่าคำนึงถึง หมายถึง คิดถึงแล้ว พิจารณาแล้ว แต่ทำได้แค่นี้
การเลือกปฏิบัติด้วยเงินบริจาค ย้อนมองกรณีลูกอดีตนายกฯ
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว ยอมรับว่า ได้เพิ่มคะแนนให้แก่นักศึกษาที่ครอบครัวบริจาคให้ถึง 19 คนมาแล้ว (เสียดายข่าวไม่ได้บอกว่า 19 คนต่อปี หรือในปีไหน)
ทำให้หวนนึกถึงความหลัง... ขณะประเทศไทยถูกปกครองในระบอบทักษิณ ได้มีลูกชายของท่านผู้นำคนหนึ่ง จะเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้คนระดับสูงของพรรคซึ่งเป็นรัฐมนตรี ได้ติดต่อว่าหากจะบริจาค ติดเครื่องปรับอากาศให้ห้องเรียนทั้งหลายของคณะ คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จะยินดีรับลูกชายของผู้นำพร้อมเพื่อนลูกอีกจำนวนหนึ่งเข้าเรียนได้ไหม
โชคดีที่คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะนั้น (เป็นผู้หญิงด้วย) ไม่ยอมรับข้อเสนอ ลูกชายของท่านผู้นี้ก็เลยมีเรื่องฉาวโฉ่จากพฤติการณ์พกฝิ่นเข้าห้องสอบ (โกงสอบ) ขณะเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ลูกสาวของท่านผู้นำคนนี้ ก็ใช่ย่อย ใช้อำนาจการบริหารของพ่อ ขอเพิ่มคะแนนสอบเข้าอีก 4 คะแนน แต่โชคดีที่ปลัดทบวงท่านนั้นไม่ยอมเพิ่มคะแนนให้ ต่อมาจึงถูกย้ายเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แต่อย่างไรก็ตาม ลูกสาวของท่านผู้นำก็ได้รับเอื้อเฟื้อจากมหาวิทยาลัยอื่น ช่วยให้เข้าเรียนในภาคพิเศษ และต่อมาค่อยย้ายไปเรียนภาคปกติ ปัจจุบัน มีลูกให้คุณตาเล่นในต่างประเทศ
ลูกสาวคนสุดท้ายของท่านผู้นำ เกิดเรื่องฉาวโฉ่ที่ปรากฏซองข้อสอบถูกเปิดก่อนเวลาสอบ ทำให้ปลัดทบวงคนต่อมาถูกกล่าวหาจากสังคมว่าทำข้อสอบรั่ว ทำให้ลูกสาวของท่านผู้นำได้คะแนนสอบเข้ารัฐศาสตร์ จุฬาฯ สูงขึ้นจากที่เคยสอบในครั้งก่อนมาก
บทสรุป
การเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะโดยเพศ โดยฐานะสังคม หรือโดยอำนาจการบริหาร เป็นสิ่งไม่เป็นธรรม
ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ เป็นวงกว้าง
สะท้อนการบริหารประเทศ บริหารสถานศึกษาที่บิดเบือน มีอคติเพราะรักในเพศ เพราะชอบในเงิน และยศถาบรรดาศักดิ์
พูดก็พูดให้ถึงที่สุด... หลายประเทศมีผู้หญิงที่สามารถอยู่ในตำแหน่งสูงจำนวนมาก อย่างประเทศนอร์เวย์ ก็เพราะผู้หญิงได้รับการศึกษาที่ดี จนสามารถเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ แม้กระทั่งกระทรวงกลาโหม
แล้วต่อไป ผู้นำเหล่าทัพ จะเป็นผู้หญิงที่ผ่านการแข่งขันกันด้วยการวัดความสามารถ จะได้หรือไม่?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี