เมื่อเดือนตุลาคมมาเยือนสังคมไทยรำลึกถึงวันมหาวิปโยคทั้งสามวัน วันมหาวิปโยคสำคัญวันแรกของเดือน คือ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นวันที่คนไทยต้องเข่นฆ่ากัน เนื่องจากนิสิตนักศึกษากับลูกเสือชาวบ้านวันนั้นจำได้ว่าผู้เขียนทำหน้าที่รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกิดการชุมนุมของนิสิตนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีนักศึกษาทุกมหาวิทยาลัยร่วมกันชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นำนิสิตที่เรียกว่านายกสโมสร คือ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กลางดึกคืนวันที่5 ตุลาคม 2519 เพื่อนของผู้เขียนได้แจ้งให้ผู้เขียนทราบว่ารุ่งเช้าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กลุ่มคนที่เรียกว่าลูกเสือชาวบ้านจะบุกไปที่มหาวิทยาลัย ซึ่งบรรดาผู้นำนิสิตประชุมอยู่ที่ตึกจักรพงษ์ ผู้เขียนรีบขับรถจากบ้านไปแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้น และรายงานให้อธิการบดี ศาสตราจารย์เติมศักดิ์ กฤษณามระ ทราบ
ท่านถามว่า มหาวิทยาลัยควรจะทำอย่างไร จึงเรียนท่านว่าให้ปิดมหาวิทยาลัย ท่านบอกว่าไม่มีคำสั่งจากรัฐบาล จึงเรียนว่าปิดประตูมหาวิทยาลัยและให้นิสิตออกจากมหาวิทยาลัย พอ 6 โมงเช้าของวันที่ 6 ทหารก็เข้าไปมหาวิทยาลัย สุดท้ายนิสิตทั้งชายและหญิงถูกจับกุมจำนวนมาก
เหตุการณ์ครั้งนั้น นิสิตนักศึกษาที่ไปอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ถูกจับและล้มตายไปจำนวนมาก
วันมหาวิปโยค ครั้งที่ 2 คือ วันมหาวิปโยคที่สำคัญที่สุดของประชาชนชาวไทย คือ วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ประชาชนชาวไทยต้องสูญเสียพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ มหาราชในดวงใจ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าสุดแสนเศร้าที่องค์พระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตยที่ครองราชย์นานที่สุดในราชวงศ์จักรีและอาจกล่าวได้ว่าพระองค์เสด็จฯทั่วแผ่นดินของประเทศมากกว่าคนไทยทุกคน ทรงสัมผัสความเป็นอยู่ของประชาชนมากกว่าทุกคนในแผ่นดิน
ส่วนวันมหาวิปโยค ครั้งที่ 3 ซึ่งความจริงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสองครั้งแรก คือ เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งได้มีการบันทึกไว้ในเอกสารทั้งหนังสือพิมพ์ เอกสารอื่นๆ หลายฉบับ แต่ที่จะนำมาเขียนในครั้งนี้อาศัยหนังสือชื่อขบวนการประชาชน ตุลาคม2516 ซึ่งจัดทำโดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2513 ทำกิจกรรมหลายอย่าง แต่กิจกรรมทางการเมืองเริ่มในปี 2515 โดย นายธีรยุทธ บุญมี เลขาธิการศูนย์ฯ คนแรกเริ่มกิจกรรมต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ต่อมาประท้วงคณะปฏิวัติ มีกิจกรรมที่กลายเป็นอิทธิพลทางการเมืองท้าทายอำนาจรัฐบาลอีกหลายครั้งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนักศึกษากับรัฐบาล ซึ่งทำให้ความกดดันที่สั่งสมมาช้านานก่อให้เกิดการท้าทายของประชาชนทุกอาชีพกับรัฐบาลคณะปฏิวัติ ในเวลานั้นซึ่งนำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี จนถึงการเรียกร้องรัฐบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญของประชาชนในเดือนตุลาคม 2516 รัฐบาลใช้อำนาจจับกุมกลุ่มผู้เรียกร้องโดยตั้งข้อหากบฏและเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ผลที่เกิดขึ้นต่อมา คือ มวลชนผนึกกำลังต่อสู้ภายใต้การนำของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับอย่างไม่มีเงื่อนไขพร้อมทั้งให้รัฐบาลประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
ผลที่สุดเกิดการจลาจลทำให้นักศึกษาประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในที่สุดจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี จอมพลประภาส จารุเสถียร พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ พร้อมทั้งครอบครัวของบุคคลดังกล่าวต้องเดินทางออกนอกประเทศในที่สุด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์จึงสงบ
สรุปรวมความว่า เดือนตุลาคมในวาระต่างกันเกิดเหตุการณ์มหาวิปโยคเกิดขึ้นกับสังคมไทยโดยเฉพาะเหตุการณ์การสูญเสียองค์พระประมุขผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเป็นมหาราชในดวงใจของปวงชนชาวไทย และโดยเฉพาะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งเป็นบทเรียนที่ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะใคร่เตือนสติผู้มีอำนาจปัจจุบันและนักการเมือง ถ้ารักชาติจริงควรจะนำไปศึกษาเป็นบทเรียนที่จะไม่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกในสังคมไทย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี