ผมมีข่าว และข้อความ 3 เรื่อง จากมุมมองของคน 3 คนมาให้คุณอ่าน
1) วันที่ 21 ตุลาคม 2561 นายอำนาจ คงโต อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ คนเสื้อแดง จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า หลังจากปัญหาวุ่นวายทางการเมืองยุติลงด้วยการยึดอำนาจเมื่อปี 2557 แล้ว ได้กลับมาทำมาหากินตามปกติ ด้วยการดูแลธุรกิจของครอบครัว คือบริหารตลาดสดเอกชน ห้าแยกป่าขนุน ต.คุ้งตะเภา อ.เมืองอุตรดิตถ์ แต่กลับถูกคนเสื้อแดง ที่เป็นกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นกลั่นแกล้ง โดยร่วมมือกับข้าราชการหน่วยงานหนึ่ง ใช้อำนาจสั่งรื้อตลาดสดของตน เพราะคิดไปเองว่าตนจะลงสมัครการเมืองท้องถิ่น โดยไม่สอบถามกันก่อน ใช้กฎหมายเล่นงานตนจนแทบจะเอาตัวไม่รอด แต่เรื่องดังกล่าวยุติลงได้ เพราะมีกลุ่มสีเสื้อฝ่ายตรงข้ามมาให้การแนะนำ พร้อมช่วยเหลือด้านกฎหมายและช่วยเจรจากับหัวหน้าหน่วยราชการดังกล่าว ทำให้ตลาดสดของครอบครัวไม่ถูกรื้อทั้งหมด แต่ถูกรื้อออกเพียงบางส่วน และไม่เกิดปัญหากระทบรุนแรงกันระหว่างกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ที่เดือดร้อนไม่มีที่ค้าขาย
“บอกกับพรรคพวกหลายคนที่เคยเดินทางมาด้วยกันในนาม นปช. และคนเสื้อแดงอุตรดิตถ์ไปแล้ว ว่า การเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติที่จะมีเกิดขึ้นในอนาคต ผมจะไม่เคลื่อนไหวหรือเข้าร่วมกับกลุ่ม นปช. และคนเสื้อแดงอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าหยุดสนใจการเมืองเลยอย่างสิ้นเชิง แต่จะช่วยเหลืองานด้านสังคมและพรรคพวกที่เข้ามาช่วยเหลือในช่วงที่ผมเดือดร้อน แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่ทำโดยเด็ดขาด คือ การปลุกระดมมวลชนไปร่วมเดินขบวน หรือสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองอีกต่อไป เพราะประสบการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้น มีแต่สร้างความเสียหายให้บ้านเมืองจนบอบช้ำมามากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องหันหน้ามาร่วมมือกัน ทำให้บ้านเมืองเกิดความสามัคคีตลอดไป” นายอำนาจกล่าว (ที่มา : มติชนออนไลน์)
2) กบ ไมโคร นักกีต้าร์วงไมโคร โพสต์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊ค ไกรภพ จันทร์ดี เกี่ยวกับกลุ่มประชาชนที่ออกมาเป่านกหวีด จนเกิดการรัฐประหารหัวข้อ “ตัสสุดท้ายเกี่ยวกับนกหวีด”
ผมโดนถามเสมอว่า ในฐานะคนตัวเล็กๆ ของประชาชน ผมไม่กลัวหรือที่แสดงจุดยืนสวนทางกับมวลมหาประชาชนนกหวีด ตั้งแต่วันที่เสียงนกหวีดดังจนถึงวันนี้ตอบได้เลยว่ากลัว ผมกลัวที่สุดถ้าจะต้องทำร้ายจิตใจ ย้ำรอยแผลเพื่อนพี่น้องร่วมชาติทุกคนที่ร่วมเป่านกหวีดในวันนั้นบางคนญาติผม เพื่อนในชีวิตจริง เพื่อนในเฟซรอบๆ ตัวผมมีไม่น้อย และมากมายเลยที่เคยเป็นแฟนเพลงของวงแต่ที่ผมกลัวกว่าคือการไม่เรียนรู้แบบสะเด็ดน้ำ พาสังคมวนกลับไปที่จุดเดิม เหมือนวันมหาวิปโยคครั้งแล้วครั้งเล่า นับจาก 14-6 ต.ค.-พ.ค. 2535-และมาจนถึงรอบสิบกว่าปีหลังนี้
มาถึงจุดๆ นี้ ถ้าเราลองเข้าไปดูบรรดาสเตตัสข่าวสารบ้านเมืองผมมั่นใจแล้วว่าทรรศนะผู้คนในสังคม ล้วนตกผลึกไปในทางเดียวกันนกหวีดคือรอยด่างของการเมืองภาคประชาชนที่อ่อนเยาว์ต่อเรื่องอะเจนด้าของฝ่าย “ธงนำ” อยากเห็นบ้านเมืองบรรลุสู่สังคมในอุดมคติ แต่ไม่อาจเข้าใจผลลัพธ์การเคลื่อนไหวที่จะตามมาในที่สุด
ผมคัดค้านมาตั้งแต่แรกเริ่มเพราะมั่นใจว่าอำนาจเผด็จการไม่อาจปฏิรูปการเมืองเพื่อคนทุกชนชั้นได้จริง วันนี้เราเลยเห็นการเคลื่อนไหวสืบต่ออำนาจอย่างชัดเจนและไม่เหนียมอาย ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้นำรัฐประหารตั้งใจจะเล่นการเมืองต่อ
สภาพเศรษฐกิจ ที่เอื้อประโยชน์ต่อทุนใหญ่ สภาพสังคม การเมือง การปกครอง ระบบยุติธรรม และอีกมากมายหลายอย่างปรากฏความบกพร่องอย่างชัดเจน อย่างที่เราๆ ประชาชน
“หมดพิษสง”ต่อชนชั้นปกครอง
โดนกดจนหัวติดพื้น !!!
กล้าหาญมากสุดได้แค่ตะโกนออกมาว่า ประเทศกูมีแตะต้องอะไรหน่อยก็กลายเป็นภัยความมั่นคง
ในปฐมบทของเรื่องที่เกิด ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่วันนี้จะเห็นคนมหาศาลก่นด่า “นกหวีด” แบบสะใจทั้งน้ำตา เพราะต่างคนต่างก็ลอยคออยู่กลางทะเลเหมือนกัน
รอยด่างของประวัติศาสตร์นี้ ผมไม่มีอะไรจะพูดถึงนกหวีดอีกต่อไปแล้ว ได้แต่หวังถ้าเคยรู้ทันไอ้นั่นอีนี่สารพัด อย่าลืมรู้ทันมันทุกคนที่คิดจะปล้นอำนาจประชาชน
นักการเมืองเลวระยำ คุณมีทางกำจัดมันด้วยประชาธิปไตยสามนาทีนักปกครองเผด็จการ กว่าสี่ปีที่บ้านเมืองถูกแช่ไว้ ยังโล้ชิงช้าเล่นสบายใจ คุณทำอะไรเขาได้จำไว้เป็นบทเรียนให้ดี มันหลายครั้งมากแล้วกับลูปนี้
จบแล้วนะ นกหวีดที่รักทุกคนกลับมาเป็นประชาชนที่รู้ทันการสูญเสียอำนาจตนกันเถอะครับ
3) เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2561 “วินทร์ เลียววาริณ” นักเขียนชื่อดัง โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คของเขาว่า
บ้านเรามีคำคมประโยคหนึ่งที่นิยมใช้ตอกหน้าผู้ที่พูดด้านลบเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสังคมว่า “ไม่พอใจก็ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นซิ”ประโยคนี้สร้างความแตกแยกร้าวลึก ผู้พูดเห็นว่าฝ่ายที่คิดไม่ตรงกับตนไม่สมควรอยู่ และระหว่างเรากับเขา เราสมควรอยู่ เขาสมควรไป
ในช่วงที่การเผชิญหน้าทางการเมืองรุนแรง เราประดิษฐ์ภาษาขึ้นมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม : อำมาตย์ ไพร่ ควายแดง แดงเทียม สลิ่ม ฯลฯ
แต่ประเทศไทยไม่ใช่โรงแรมหรืออพาร์ตเมนต์ที่เช่าอยู่ชั่วคราว ไม่พอใจย้ายออกเมื่อไรก็ได้ ประเทศไทยก็คือครอบครัวของเรา ชอบหรือไม่ชอบก็เป็นครอบครัวของเรา
พ่อผมลงเรือเดินทางจากจีนมาตั้งหลักในเมืองไทย ไม่เคยจากแผ่นดินนี้ไปเลย คนอย่างพ่อผมมีเป็นล้านๆ คน เข้ามาเมืองไทยพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เพราะมันคือแผ่นดินแห่งโอกาส มันมอบชีวิตใหม่ให้เรา มันป้อนข้าวป้อนน้ำให้เรา ดังนั้นชาวโพ้นทะเลในกาลโน้นจึงสำนึกบุญคุณประเทศนี้ เปลี่ยนแซ่เป็นไทย และเลือกตายที่นี่
แผ่นดินไทยก็เช่นแผ่นดินอื่นๆ ในโลก มีข้อดีและข้อด้อย มีจุดแข็งและจุดอ่อน มีด้านสะอาดและมุมสกปรก มีคนดีงามและคนเลวร้าย
คนเรามีสิทธิ์เกลียดประเทศบ้านเกิดได้หรือไม่? ย่อมได้ ประเทศเป็นเพียงสิ่งสมมุติ คนส่วนมากสามารถเลือกอยู่ที่ใดในโลกก็ได้ เพียงแต่ความจริงคือ ในโลกนี้ไม่มีประเทศใดสมบูรณ์แบบดังนั้นต่อให้เกลียดชังประเทศนี้เท่าไร และเลือกไปอยู่ประเทศอื่น ก็ยังต้องเจอข้อดีและข้อด้อย จุดแข็งและจุดอ่อน ด้านสะอาดและมุมสกปรก คนดีงามและคนเลวร้าย
ในด้านดี ไทยเป็นจุดที่ลมตะวันออกผสานกับลมตะวันตก นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เราสามารถเรียนศาสตร์ใหม่และศาสตร์เก่าทั้งสองฝั่ง สามารถอ่านนิยายไทย นิยายจีน นิยายตะวันตก เรียนศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม เต๋า เซน ฯลฯ เรียนองค์ความรู้ตะวันออกและตะวันตก
ในด้านดี อาหารอุดมสมบูรณ์ ปลูกพืชพันธุ์มากมาย สมมุติว่าเกิดสงครามกับมนุษย์ต่างดาว ถูกปิดล้อมนานปี เราก็อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน เพราะทุกอย่างปลูกเองกินเองได้
ในด้านดี ทุกครั้งในห้วงยามวิกฤติ เราช่วยเหลือกันเสมอ
ในด้านไม่ดี ระบบการศึกษาของเรายังอ่อนแอ ผู้คนงมงายด้วยความเชื่อ ไสยศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผู้คนเชื่อง่าย ถูกหลอกง่ายดายเพราะวิเคราะห์อะไรไม่เป็น
ในด้านไม่ดี เรามีคนขี้เกียจเต็มเมือง เรามีคนที่ความโลภเต็มหัวใจ กินบ้านกินเมือง ระบบอุปถัมภ์ที่แทะกินเสาของประเทศ การรักษากฎหมายที่หย่อนยาน
แต่จุดอ่อนด้อยเหล่านี้มิใช่เรื่องที่แก้ไขไม่ได้
เมื่อปลวกขึ้นบ้าน เราไม่ด่าปลวก เราหาวิธีกำจัดปลวก เราไม่ทิ้งบ้าน
เมื่อพายุพัดบ้านพัง เราไม่ด่าพายุ เราสร้างมันขึ้นมาใหม่ เราไม่ทิ้งบ้าน
เพราะอะไร? เพราะมันเป็นบ้านของเรา เพราะมันเป็นครอบครัวของเรา
คำบ่นและผรุสวาทสร้างความสะใจและระบายอารมณ์ชั่วคราว แต่ไม่แก้ปัญหา ตรงกันข้าม บางครั้งยิ่งขยายบาดแผลโดยไม่จำเป็น
หากเราเลือกใช้วิธีคิดค้นคำพูดมาฟาดฟันกัน แทนที่จะคิดค้นทางแก้ปัญหา ไม่ช้านานเมืองไทยก็คงไม่เหลือใครสักคน เพราะถูกไล่ออกไปอยู่ประเทศอื่นกันหมด
เราหลายคนอาจลืมไปว่า วิกฤติในบ้านเมืองแทบทั้งหมดเกิดจากคนกลุ่มน้อยเท่านั้น ไยเรายอมปล่อยให้ผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยพวกนั้นทำให้เราเกลียดกันถึงปานนี้?
ยังจำได้ไหมว่า เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสู่สวรรคาลัย คนไทยร่วมมือร่วมใจได้ขนาดไหน มันชี้ว่าเราคนไทยมีศักยภาพสูงมากในการรวมใจกัน เราจะข้ามพ้นจุดด้อยทั้งหลายนี้ได้ หากเพียงตั้งเป้าหมายเดียวกันคือ ประโยชน์สุขมวลรวม ไม่ใช่ของพวกกูพรรคกู
ใช่ เมืองไทยมีด้านไม่ดีมากมาย แต่ก็มีด้านดีมากมายเช่นกัน ใครเกลียดเมืองไทยก็ไม่ว่า ใครไม่อยากอยู่เมืองไทยก็ไม่ว่า ส่วนผมขอเลือกอยู่เมืองไทยจนตาย
4) อันที่จริง ถ้าจะเอาแต่ถกเถียง ตรงนั้นเห็นด้วย ตรงนี้ไม่ใช่ ในแต่ละข้อ จากแต่ละคน เถียงได้ครับ ได้เยอะเลย แต่คงไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการนำมาให้อ่านกันในวันนี้ (อยากฟังว่าเถียงอะไรได้บ้าง ให้เปิดฟังรายการ “จิตกร ออนแอร์” 14.30-16.00 น. ทาง FM105 จันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป)
แต่ “กุญแจสำคัญ” (keyword) ที่ควรจับต้องให้ได้คือ ปัญหาเกิดจาก “ฐานคิด” (mind set) บนความเป็นขั้ว เป็นข้าง เป็นสี เป็นฝ่าย หากสลายฐานคิดนี้ออกจากใจไม่ได้ จะทำให้การมองปัญหาบิดเบี้ยว และเห็นแต่ความถูกของฝ่ายตน กับความผิดของฝ่ายตรงข้าม
5) นายอำนาจ ตกผลึกด้วยประสบการณ์ว่า ชั่วดีไม่ได้อยู่ที่สีที่ฝ่าย แต่อยู่ว่าใครทำอะไร ถูกต้องหรือไม่ จุดเปลี่ยนเกิดจาก “ผลประโยชน์” ที่ถูกกระทบ แล้ว “เห็นธรรม” ทางการเมืองไม่แน่ว่า หากผลประโยชน์ไม่ถูกกระทบ จะมาถึงจุดนี้ได้หรือไม่ จุดที่สามารถสลาย “อีกฝ่าย” หรือ “ฝ่ายเดียวกัน” ออกจากฐานคิดได้ แล้วมองโลกตามจริง ตามการกระทำของแต่ละคน
6) นายไกรภพ หรือกบ ไมโคร ยังตั้งอยู่บนฐานคิดเดิม จึงเรียกคนที่ตนมองเป็น “อีกฝ่าย” ด้วยคำว่า “นกหวีด” และพิพากษาว่า รัฐประหารกับวันเวลาที่ถูกกดหัวติดพื้น ไม่มีเสรีภาพ เกิดจากพวกนกหวีดเอาทหารมารัฐประหาร อันนี้คงต้องถกเถียงกันอย่างหนัก (ไปรอฟังต่อในรายการ “จิตกร ออนแอร์” ละกันครับ)
7) วินทร์ ไม่มีฐานคิดแบบ “ขั้วข้างต่างสี” จึงมองเหตุการณ์อย่างใจว่างๆ และเห็นว่า การแบ่งพวก แบ่งข้าง นั่นแหละคือฐานของปัญหา
อยากให้ทุกท่าน อ่านข้อความ 1) ถึง 3) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อเนื่องกัน มันจะเหมือนแรงเขย่าให้เกิดการ “ตกตะกอน” อะไรบางอย่าง
จากนั้น ให้มาดู “ข่าว” ของสำนักข่าวต่างๆ จะพบว่า การแยกขั้ว แยกข้าง สร้างข่าวหรือพาดหัวข่าวปรนเปรอแต่ละฝ่าย และเสี้ยมให้แต่ละฝ่าย “กัดกัน” คือ สินค้าและบริการหลักของสื่อบ้านเรา
ในหมู่นักการเมืองและพรรคการเมืองบางจำพวกก็เช่นเดียวกัน นี่ฝ่ายประชาธิปไตยนะ นั่นฝ่ายเผด็จการ นี่ฝ่ายทักษิณ นั่นฝ่ายไม่เอาทักษิณ ถึงกับมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีสภาพเป็น “ไม้เท้าตีสุนัข”
ในหมู่นักวิเคราะห์ จัดตั้งรัฐบาล โดยไม่รอให้เห็นมติของประชาชนจากคะแนนเลือกตั้งก็เช่นเดียวกันพวกเขาล้วนไม่นำพาคนออกจากความเป็นพวก-เป็นศัตรู เป็นสีนั้นกับสีนี้ เป็นฝ่ายนั้นกับฝ่ายนี้
ยังมีคนได้ประโยชน์จึงหาประโยชน์จาก “คู่ขัดแย้ง” อยู่เสมอ
จึงพบว่า ขณะบ้านเมืองกำลังเคลื่อนเข้าสู่การเลือกตั้ง การแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย แบ่งสี ก็ทวีความเข้มข้นขึ้น หลังจาก “นอนก้น” มาสี่ห้าปี เพราะมีคนไป “กวน” มันขึ้นมา และมีปฏิกิริยาตอบรับ เพราะเป็น ฐานคิด (mind set) ที่ไม่ได้เซตใหม่ (รีเซต) จึงยังคงรับสัญญาณแห่งความชิงชัง รังเกียจ คู่ตรงข้ามได้โดยอัตโนมัติ
สำรวจฐานคิดของคุณ และปรับจูนมันอีกครั้ง!!!
“...บ้านเมืองจนบอบช้ำมามากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะต้องหันหน้ามาร่วมมือกัน...” อำนาจ คงโต
“...แต่ที่ผมกลัวกว่าคือการไม่เรียนรู้แบบสะเด็ดน้ำ พาสังคมวนกลับไปที่จุดเดิม...” ไกรภพ จันทร์ดี
“...เมื่อปลวกขึ้นบ้าน เราไม่ด่าปลวก เราหาวิธีกำจัดปลวก เราไม่ทิ้งบ้าน...” วินทร์ เลียววาริณ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี