หลังกองทัพไทยใช้มาตรการกดดันหลายประการ โดยเฉพาะการปิดด่าน และเตรียมตัดน้ำตัดไฟ ส่งผลให้กัมพูชาเปิดการเจรจา และยอมปรับสภาพพื้นที่ ที่บุกรุกเข้ามาขุด “คูเลต” ให้กลับสู่สภาพเดิม ถอยกำลังทหารกลับที่ตั้งเดิม และเตรียมจะเจรจา “เจบีซี”กัน ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้
มีเรื่องที่น่าสนใจต่อความกังวลของคนไทย เกี่ยวกับการจะ “เสียดินแดน” หรือต้องไปขึ้นศาลโลก ตามที่เขมรข่มขู่หรือไม่
1) เรื่องดินแดนและเขตแดนนี้ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี สมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย อดีตปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โพสต์ข้อความว่าเจอหมุดหลักเขตแล้ว เป็นแผ่นดินไทยแน่นอน
โดยบอกว่า ...
เมื่อวานนี้ผมไปออกทีวี ไทยรัฐและ Workpoint และในวันนี้ที่ช่อง 5 ทบ. ได้ถือโอกาสแสดงภาพหลักหมุดบนเส้นแบ่งเขตของอุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง(เขาพระวิหาร ตาพระยาและภูจอง-นายอย) และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 4 แห่ง (ห้วยศาลา พนมดงรัก ห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ และยอดโดม) กับเขตฝั่งเขมรทั้งหมด ซึ่งเป็นเส้นเดียวกับเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาทั้งสิ้น
อย่างที่ผมได้เคยย้ำไปแล้วว่า การประกาศพระราชกฤษฎีกาอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า จะต้องมีแผนที่ประกอบโดยแสดงมาตราส่วนและพิกัดที่ชัดเจน ซึ่งการประกาศของกรมป่าไม้ก็สมบูรณ์ทุกส่วน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ใครก็ไม่สามารถปฏิเสธหลักฐานได้ก็คือ “หมุดหลักเขต” ตามภาพนี้มีค่ายิ่งประมาณว่า จากอุบลราชธานีมาจนจรดตราดรวม7 จังหวัด จะมีหมุดแบบนี้อยู่ราว 10-100 หมุด เป็นหมุดที่กรมป่าไม้เริ่มปักเมื่อครั้งประกาศอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารปี 2541 ซึ่งตอนนั้นผมในฐานะอธิบดีกรมป่าไม้ได้สั่งการให้คุณดำรัส สุขอร่าม หัวหน้าฝ่ายช่างรังวัดในขณะนั้น เป็นผู้รับผิดชอบไปดำเนินการ โดยบอกเขาว่า ไหนๆ ก็ทำที่เขาพระวิหารแล้ว ก็ทำเสียให้ตลอดแนวเขาพนมดงรักเลย
การทำงานยากลำบากมาก เพราะทุกคนต้องเดินไปตามสันเขาปันน้ำที่แสนอันตรายยาวถึง 800 กม. พวกเขาใช้เวลาทั้งสิ้นเกือบ 5 ปี จึงสำเร็จ ขอบคุณอย่างยิ่งครับ เพราะวันนี้มันได้กลายเป็นหลักฐานที่ล้ำค่าของประเทศไทย
ในรายการทีวี อาจารย์จากธรรมศาสตร์ที่มาร่วมออกรายการ ได้ถามผมว่า พื้นที่ที่อธิบายมานี้กรมป่าไม้ได้เคย“ครอบครองอย่างมีประสิทธิภาพ” หรือไม่ เพราะเป็นหลักของกฎหมาย ผมก็ตอบไปว่า ครอบครองและใช้ประโยชน์แน่นอนเช่น การปลูกป่า การดับไฟป่า การสร้างฝายทดน้ำและการจับกุมดำเนินคดีกับทั้งคนไทยและคนเขมรที่ทำความผิด
อาจารย์ท่านนี้ก็ยังซักผมอีกว่า แผนที่ระหว่างประเทศที่สมบูรณ์ต้องมี“ นิยาม การปักปันและการปักหลักเขต” ผมก็ตอบไปว่า “ใช่สิ” นิยามของแผนที่คือ สันปันน้ำหรือ Watershed Line ของเขาพนมดงรัก การปักปันก็คือ แผนที่ ที่มีมาตราส่วนที่เป็นมาตรฐานและมีพิกัด (Lat./Long.) ส่วนการปักเขตก็คือ หมุดที่ผมเอาภาพมาแสดง ผมจึงถามกลับว่า สมบูรณ์พอไหม? มันดีและแม่นยำกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่เขมรหรือแม้แต่ที่ฝรั่งเศสใช้มากมาย อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้น ก็บอกว่าใช้ได้ครับ
สำหรับปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควายนั้น อยู่ลึกเข้ามาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ ดังนั้น จึงอยู่ในเขตประเทศไทยอย่างแน่นอน คุณเขมรกรุณาอย่าซี้ซั้วพูด อย่ามาพูดแบบมั่ว แยกปราสาทกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นอันขาด
พี่น้องประชาชนชาวไทยครับ ยามทุกข์ ยามศึกเราต้องร่วมกายร่วมใจและสามัคคีกัน ขอให้เชื่อใจรัฐบาล เชื่อใจหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและเชื่อกองทัพที่จะสามารถปกป้องและคุ้มครองประชาชนและอธิปไตยของชาติเราได้ ส่วนทางการเมืองก็เบาๆ หน่อยครับ อย่ามาทิ่มแทงยุแหย่อะไรกันตอนนี้เลย
2) “ปราสาทตาเมือนธม” อยู่ฝั่งไทยแน่นอน นอกเหนือจากข้อมูลของ ดร.ปลอดประสพแล้ว กรมศิลปากรทำการสำรวจพบและขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานของไทยไว้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ (ค.ศ. 1935) หรือเมื่อ ๙๐ ปีที่แล้ว และปัจจุบันอยู่ในความดูแลของสำนักศิลปากรที่ ๕ ปราจีนบุรี
ที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะ โดยทางการกัมพูชารับรู้มาตลอด อีกทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้สร้างเส้นทางเที่ยวชมสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย อย่างไรก็ตาม หากกัมพูชาอ้างสิทธิการถือครองพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมจริง ไทยต้องยืนยันว่าพื้นที่ชายแดนจุดนี้เป็นของเรา โดยใช้แผนที่ตามหลักสากล ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามหลักสันปันน้ำ
ดังนั้น กัมพูชารับรู้มาตลอด แต่ตีเนียน คิดแต่จะสร้างสถานการณ์ ปลุกระดมคนกัมพูชา ที่ชักจูงได้ง่าย โดยไม่ใช้สติและปัญญาไตร่ตรองถึงข้อเท็จจริงก่อน ให้ดำเนินไปเหมือนกรณี “ปราสาทพระวิหาร”
“ประเทศกัมพูชา” ได้รับเอกราชในจากฝรั่งเศส เป็นประเทศเอกราช ปี ๒๔๙๖ (1953) และเป็นที่ยอมรับจากสหประชาชาติ ปี ๒๔๙๘ (1955)
“ประเทศกัมพูชา” ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ (ค.ศ. 1953) ภายหลังจากเป็นอาณานิคมมานานหลายสิบปี และได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศเอกราชอย่างเป็นทางการจากองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ (ค.ศ. 1955) ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ “ปราสาทตาเมือนธม” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยไปแล้วกว่า ๒๐ ปี
จึงเห็นได้ว่า การขึ้นทะเบียน “ปราสาทตาเมือนธม” เป็นโบราณสถานของไทยเกิดขึ้นก่อนที่ “ประเทศกัมพูชา” จะมีสถานะเป็นรัฐเอกราชในปัจจุบัน และสะท้อนถึงความต่อเนื่องของการดูแลรักษามรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่ดังกล่าวภายใต้การปกครองของไทยมาอย่างยาวนาน
3) ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า กัมพูชาจะนำกรณีปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ศาลโลก” นั้น พึงทราบว่า การนำคดีหรือข้อขัดแย้งใดขึ้นสู่ศาลโลก “ไม่ใช่เรื่องง่าย” ไม่ใช่เรื่องที่กัมพูชาจะดำเนินการได้ “โดยฝ่ายเดียว”
การนำคดีขึ้นสู่ศาลหรือการยอมรับอำนาจของศาลโลก มีเงื่อนไขหลายอย่าง กล่าวคือ
1. การต้องได้รับ “ความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย”(Consent-based Jurisdiction)
2. การยอมรับอำนาจภาคบังคับ (Compulsory Jurisdiction) ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา 36 วงเล็บ 2 ของธรรมนูญศาลโลก ที่ระบุว่าประเทศต่างๆ สามารถประกาศยอมรับอำนาจศาลได้ ซึ่งจะถือว่าศาลโลกมีอำนาจโดยพฤตินัย (Ipso Facto) ในการพิจารณาคดี
3. การยอมรับอำนาจศาลเฉพาะบางมิติ โดยประเทศต่างๆ อาจเลือกยอมรับอำนาจศาลโลกเฉพาะคดีบางคดีเท่านั้น (Reservation)
4. การยอมรับเฉพาะคดี หมายถึง คู่ความทั้งสองประเทศตกลงใจที่จะให้อำนาจศาลโลกมีสิทธิในการพิจารณาคดีเฉพาะในคดีนั้นๆ เท่านั้น โดยไม่มีสิทธิในการพิจารณาคดีอื่นๆ ซึ่งต้องยื่นการยอมรับเป็นครั้งๆ ไป
แม้ไทยจะเคยยอมรับอำนาจศาลโลกและยินยอมขึ้นสู่ศาลในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 มาก่อน แต่หลังจากนั้น ไทยก็ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกอีกเลย
ดังนั้น การที่กัมพูชาประกาศจะฟ้องไทยในศาลโลกเรื่องความขัดแย้งที่สามเหลี่ยมมรกต หรือปราสาททั้งสาม ย่อมไม่มีผลใดๆ เพราะไม่ได้รับความยินยอมอย่างเป็นทางการจากไทย ซึ่งในกรณีนี้ กัมพูชาจะเสนอข้อเสนอนี้ในที่ประชุม JBC ระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ทางออกของไทยก็แค่แจ้งในที่ประชุมว่าไทย “ไม่ยอมรับมตินี้และปฏิเสธการขึ้นศาลโลก” และยืนยันให้ใช้ “กลไก MOU43” ซึ่งเป็นกลไกที่วางหลักในการแก้ปัญหาด้านเขตแดนอยู่แล้ว จึง “ไม่จำเป็น”ต้องขึ้นศาลโลกเลย
4) ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อกรณีปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่า ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC), คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) โดยยึดหลักความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นผลจากการหารือระดับผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568
ส่วนของข้อเสนอจากฝั่งกัมพูชา ที่แสดงความตั้งใจจะยื่นเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) รัฐบาลไทยได้ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของ ICJ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน และเห็นว่า ทั้งสองประเทศได้มีข้อตกลงและกลไกที่ใช้แก้ไขปัญหาชายแดนร่วมกันอยู่แล้วตั้งแต่แรก
ดังนั้น หากไทยยังยืนยัน “ความจริง” ของการครอบครอง แสดงสิทธิ และหลักเขตให้ชัด ก็ไม่มีอะไรกังวลว่าเราจะ “เสียดินแดนเพิ่ม” รวมถึงการยืนยันหนักแน่นเรื่อง “ไม่ขึ้นศาลโลก” ด้วย !!
จิตกร บุษบา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี