พอมีข่าวออกมาว่า ปปง.อายัดอาคารมหารัตนวิหารคด ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ศิษย์ธรรมกาย
บางความเห็น ระบุว่า “งง เรื่องอะไร เป็นมาอย่างไร วัดและที่ดินของวัด(ธรณีสงฆ์) ไม่มีใครยึดได้ หรือออกกฎหมายใหม่เมื่อไร?”
1. ข้างต้น คือตัวอย่างความคิดเห็นที่ศิษย์วัดพระธรรมกายอาจสงสัยอย่างสุจริตชน
เพราะถ้าศิษย์วัดพระธรรมกายบริจาคเงินเข้าวัด แล้วนำไปซื้อที่ดิน สร้างสิ่งปลูกสร้าง ดำเนินการให้เป็นสมบัติของวัด เป็นธรณีสงฆ์อย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา แล้ว ปปง.จะไปออกคำสั่งอายัด ได้อย่างไร?
แต่ข้อเท็จจริงของในการดำเนินการโดยน้ำมือของฝ่ายจัดการในวัดพระธรรมกายเอง คือ ไม่ได้ดำเนินการให้เงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาทุกบาททุกสตางค์ตกเป็นทรัพย์สินของวัด หรือไม่ได้เป็นธรณีสงฆ์!
ตรงกันข้าม ทรัพย์สินส่วนใหญ่ในอาณาจักรธรรมกาย อยู่ในชื่อของนิติบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ของวัด ไม่ใช่ธรณีสงฆ์ ด้วยความจงใจบางประการ
ธรณีสงฆ์ของวัดพระธรรมกาย เท่าที่มีการยืนยัน ก็มีแค่ 196 ไร่ ส่วนที่เป็นพื้นที่วัดมาแต่สมัยโน้น
ทรัพย์สินที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็น อาคารลูกโลก อาคารมหารัตนวิหารคด อาคารบุญรักษา ที่ดินต่างๆ อีกจำนวนมาก ถูกผ่องถ่ายจัดการออกไว้ตามมูลนิธิ นอมินี นิติบุคคลอื่น ซึ่งผู้มีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการในปัจจุบัน มิใช่เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายโดยตรงเสียแล้ว มูลค่ารวมๆ น่าจะกว่าแสนล้านบาท
น่าคิดว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคนใหม่ สมควรจะต้องจัดระเบียบใหม่ โดยเร่งรีบจะต้องดำเนินการโอนทรัพย์สินที่ควรเป็นของสงฆ์เหล่านั้น ให้เป็นไปของสงฆ์อย่างตรงไปตรงมา แล้วถ้านิติบุคคลใดขัดขืนก็ต้องดำเนินคดีฐานยักยอกทรัพย์ หรือฉ้อโกงเอาแก่บรรดามูลนิธิหรือนิติบุคคลเหล่านั้น
ไม่ควรปล่อยปละละเลยให้มีกรณียักยอกทรัพย์ของวัดไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ที่ผ่านมา มีโอกาส มีเวลา แต่เหตุใดไม่ดำเนินการ?
ปัจจุบัน ใครเป็นไวยาวัจกรของวัด?
ชาวธรรมกายจะต้องถามผู้บริหารวัดว่า แทนที่จัดระเบียบ จัดการวัดให้เป็นวัด พระเป็นพระ ไม่ปล่อยให้มีการซิกแซ็กจัดการทรัพย์สินเหมือนที่เคยเป็นปัญหาจนถึงขั้นต้องคดีฟอกเงินค้างคามาจนถึงปัจจุบัน แต่ทำไมกลับไม่ดำเนินการเหมือนกับต้องการจะฉวยโอกาสที่หลวงพ่อไม่สามารถจะมีบทบาทได้แล้ว ฉวยโอกาสขึ้นมาสวมบทบาทแทน กระนั้นหรือ?
อย่าลืมว่า ในพระราชโองการถอดถอนสมณศักดิ์ของพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ระบุถึงกรณีคดีที่ถูกสอบสวนอยู่ เรื่องเกี่ยวกับการเอาเงินวัดพระธรรมกายไปเล่นหุ้นไว้ด้วย ไม่ทราบว่าป่านนี้ คดีไปถึงไหนแล้ว เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายคนปัจจุบัน ทำอะไรอยู่
หากเจ้าอาวาสละเว้น ไม่ดำเนินการ หรืออาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนไปเอื้อประโยชน์ ช่วยเหลือพวกพ้อง ก็จะเข้าข่าย มาตรา 157 กฎหมายอาญา อาจถูกดำเนินคดีเสียเอง
2. ขณะนี้ ในธรรมกายเอง ก็มีกลุ่มศิษย์ที่ตื่นตัว
เริ่มรู้สึกว่า ไม่ต้องไปโทษดีเอสไอ หรือเจ้าหน้าที่รัฐหรอก แต่คนในธรรมกายนี่เอง ที่ผ่านมากระทำไม่ตรงไปตรงมา แล้วนำพาวัดเข้าไปสู่ด้านมืดที่ไม่ควรจะเป็น
แม้กระทั่งกรณีการตายของเลขาธิการมูลนิธิหลักของธรรมกาย ก็ถูกคณะศิษย์บางกลุ่มตั้งข้อสงสัยว่า ตายผิดปกติ โดยเพ่งเล็งไปที่กลุ่มอำนาจและผลประโยชน์ในวัดนั่นเอง
3. ที่ผ่านมา คณะกรรมการธุรกรรม ใน ปปง. มีคำสั่ง ที่ ย.206/2561 อายัดอาคารมหารัตนวิหารคด ตั้งอยู่บนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 186,187,188 และ 189 เลขที่ดิน 7,8,9 และ 10
ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน คือ มูลนิธิธรรมกาย
ไม่ใช่ที่ธรณีสงฆ์
ปปง.สอบสวนเส้นทางการเงิน พบว่า มีความเกี่ยวข้องกับคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น อดีตไวยาวัจกรวัด และวัดพระธรรมกาย ได้รับไปจากการกระทำความผิด นําเข้าบัญชีเงินธนาคารของวัดพระธรรมกาย เป็นเงินรวม 778,400,000 บาท และจากการขยายผลการตรวจสอบวิเคราะห์เส้นทางการเงินยังพบว่าวัดพระธรรมกายได้นําเงินดังกล่าวไปใช้ ในการก่อสร้างโครงการมหารัตนวิหารคด
4. ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการธุรกรรม ปปง. ก็เคยมีคำสั่งอายัด “อาคารลูกโลก” คือ อาคารตามโครงการ 100 ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดิน 91 แปลง
มิใช่ธรณีสงฆ์
กรรมสิทธิ์อยู่ในชื่อของมูลนิธิในเครือข่ายของผู้บริหารวัดพระธรรมกาย
ซึ่งหากดำเนินการให้เป็นธรณีสงฆ์ เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ปปง.ก็ไม่สามารถยึดอายัดได้
อาคารลูกโลกออกแบบไว้ 15 ชั้น ภายในตบแต่งหรูหรา มีห้องพัก ห้องประชุมวิชาการ ห้องปฏิบัติธรรม ห้องรับรอง พิพิธภัณฑ์ มีระบบเครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ ลิฟท์ บันไดเลื่อน บันไดหนีไฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พื้นที่ใช้สอยดังศูนย์แสดงสินค้า หรือศูนย์จัดงานประชุมระดับนานาชาติ
มูลค่าการก่อสร้างสี่พันกว่าล้านบาท
ในคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ให้อายัดอาคารลูกโลกของธรรมกายนั้น ระบุว่า
“...เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสืบสวนว่า กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ในวัดพระธรรมกาย มูลนิธิพระธรรมกาย และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง มีพฤติการณ์ในการพยายามเร่งรัดดำเนินการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินต่างๆ รวมถึงที่ดินอันเป็นที่ตั้งของอาคารตามโครงการ 100 ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และทรัพย์สินอื่น อันปรากฏชัดเจนจากการสืบสวนว่า เงินที่มูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง นำไปใช้ในการก่อสร้างอาคารตามโครงการ 100 ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จึงถือว่ามีกรณีที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน กรณีจึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า อาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินใดที่เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงขอให้คณะกรรมการธุรกรรม พิจารณามีมติอายัดทรัพย์สิน คือ อาคารตามโครงการ 100 ปี คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งตั้งอยู่บนโฉนดที่ดิน จำนวน 91 แปลงดังกล่าว”
5. นอกจากนี้ ยังมีที่ดิน อาคารบุญรักษา ที่มิใช่ธรณีสงฆ์เช่นกัน แต่เกี่ยวมีที่มาเกี่ยวพันกับเงินทุจริตสหกรณ์คลองจั่น ถูกสอบสวนคดีฟอกเงิน กระทั่งถูกอายัดไว้เช่นกัน
ยังไม่นับเงินในบัญชีของมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ และวัดพระธรรมกาย รวม 4 บัญชี ที่ถูกศาลแพ่งพิพากษา ว่าเป็นเงินอันเกี่ยวข้องหรือได้มาจากความผิดมูลฐาน เกี่ยวกับคดีที่นายศุภชัยโกงสหกรณ์ แล้วผ่องถ่ายเงินออกมา จึงให้เงิน 58 ล้านบาท คืนกลับไปเป็นของสหกรณ์คลองจั่น
บางประเด็นในคำพิพากษา ศาลแพ่งชี้ว่า วัดและมูลนิธิฯ กระทำการอันมีลักษณะเป็นการหลีกเลี่ยงการรายงานการทำธุรกรรมเป็นระยะเวลาหลายปีหลายครั้ง ส่อแสดงให้เห็นว่ากระทำเพื่อปกปิดลักษณะที่แท้จริงของแหล่งที่มาของเงิน เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเกิดขึ้น
ศาลแพ่งยังชี้อีกด้วยว่า พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้แต่งตั้งนายศุภชัยเป็นไวยาวัจกรของวัด เชื่อได้ว่าวัดพระธรรมกายเกี่ยวข้องกับนายศุภชัย และมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับนายศุภชัย โดยผ่านทางพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ธัมมชโย) พฤติการณ์ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลอุปถัมภ์ค้ำจุนกันเช่นว่านั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดระหว่างกันที่มีมากกว่าเพียงการศรัทธาของบุคคลทั่วไป
ศาลแพ่งชี้ด้วยว่า การใช้เงินดังกล่าว (เงินในบัญชีมีทั้งเงินที่ถูกยักยอก เงินที่ใช้ในการฟอกเงิน และเงินบริจาคจากผู้อื่นปะปนระคนกัน) เป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่สุจริตตั้งแต่ต้น การก่อสร้างศาสนสถานและสถานปฏิบัติธรรมที่ใหญ่โตทั้งที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เป็นเหตุให้ต้องมีกิจกรรมระดมเงินให้ได้จำนวนมาก เป็นการขัดต่อวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ที่ต้องการตัดวงจรการประกอบอาชญากรรมด้วยการมิให้สามารถนำเงินและทรัพย์สินดังกล่าวมาใช้สนับสนุนการกระทำผิดอื่นได้อีก กรณีจึงต้องถือว่าเงินที่ยังคงเหลืออยู่ในบัญชีเงินฝากทั้ง 4 บัญชี เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
6. ถึงเวลาที่ศิษย์ธรรมกายเอง จะต้องตั้งคำถามกับผู้กุมอำนาจบริหารวัด ว่าเหตุใดไม่ดำเนินการทางธุรกรรมตรงไปตรงมา ทำให้ทรัพย์สินเป็นธรณีสงฆ์ แจกแจงรายการบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดให้กระจ่างชัด ทั้งในมูลนิธิต่างๆ ว่าเงินกี่หมื่นล้านที่ไหลผ่านมูลนิธิใดไปที่กลุ่มผลประโยชน์ของใคร?
นั่นแหละ คือ ตัวการแท้จริง ที่ทำให้ศรัทธาบริสุทธิ์ของพุทธศาสนิกชนต้องมัวหมองไปด้วย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี