ทุกวันนี้บ้านเมืองของเราเป็นอย่างไรก็เห็นๆกันอยู่ เข้าไปในวงการไหนก็ได้ยินเสียงบ่นเสียงว่า ในเรื่องการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ไม่เข้าท่าเข้าทาง ของคนมีอำนาจหน้าที่ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศยังตกอยู่ในสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากในการทำมาหากิน
โดยเฉพาะในเรื่องที่ต้องจำเจอยู่กับวาทะสวยๆ ของผู้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหาร แต่สวนทางกับสภาพความเป็นจริงที่พวกเขาต้องเผชิญอยู่
ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนมีกินกับคนไม่มีกินในบ้านเมือง ถ่างตัวออกไปมากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของผู้บริหารบ้านเมือง ยังเดินไม่ถูกทาง
ข้อมูลที่แสดงว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่รุนแรงนั้น ดูได้จากองค์กรนานาชาติที่มีหน้าที่ศึกษาติดตามปัญหาความยากจนทั่วโลก และเสนอไว้เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 นี้เอง ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยปี พ.ศ.2559 คือ
1. ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซีย และอินเดีย
2. ปัญหารุนแรงขึ้นเนื่องจากไทยขยับขึ้นจากอันดับที่ 11 ของโลก ในปี พ.ศ.2558
3. ใน 5 ปีที่ผ่านมา มีคน 1% เป็นเจ้าของความมั่งคั่ง มากกว่าคนไทยทั้งประเทศรวมกัน
4. มหาเศรษฐีระดับพันล้านขึ้นไปในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 5 คน ในปี พ.ศ.2551 เป็น 28 คน ในปี พ.ศ.2558
5. แต่คนไทย 10% หรือประมาณ 7 ล้านคนยังมีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน
6. คนไทยมากกว่า 3 ใน 4 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใดๆเลย
7. โฉนดที่ดิน 61% ของประเทศไทย อยู่ในมือของประชาชน 10%
8. ในชั่วโมงทำงานที่ทำกัน โดยเฉลี่ย ผู้ชายจะได้ค่าตอบแทน 100 บาท ผู้หญิงได้ค่าตอบแทน 87 บาท
9. โอกาสของบุตรของคนที่มีรายได้น้อย จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ต่างจากคนอื่น 1.9 เท่า
ตัวอย่างความเหลื่อมล้ำที่เป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง ในภาวะเศรษฐกิจปี 2559 ภายใต้รัฐบาล คสช. การขยายตัวแท้จริงของ จีดีพี อยู่เพียงระดับร้อยละ 3.2 ต่อปี และมีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมากที่มียอดขายลดลง กำลังซื้อลดลง
แต่ปรากฏว่า บริษัทขนาดใหญ่และขนาดยักษ์ในตลาดหลักทรัพย์ 567 บริษัท มีกำไรในปี 2559 รวมกัน 909 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 30 ทั้งๆที่ยอดขายและรายได้รวมของบริษัทเหล่านี้ลดลงเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เป็นหลักฐานยืนยันอย่างหนึ่งว่า โครงสร้างการบริหารจัดการของประเทศ นอกจากจะไม่เอื้ออำนวยให้มีการกระจายรายได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังจะทำให้แนวโน้มความเหลื่อมล้ำรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าว เป็นประจักษ์แก่ทุกคนในบ้านเมืองว่า ตั้งแต่มีการยึดอำนาจมาบริหารบ้านเมือง ประเทศของเราเป็นอย่างไร
รัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหารชุดนี้ ประกาศดำเนินการกับปัญหาเศรษฐกิจไว้ 2 เรื่อง คือ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการประชารัฐ
นโยบายไทยแลนด์ 4.0 คือ จะผลักดันให้อุตสาหกรรม เมือง และประชาชน ที่เน้นความคิดริเริ่มการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การทำเกษตรกรรมที่ฉลาดการริเริ่มธุรกิจแบบใหม่ๆ การค้า บริการ ที่มีมูลค่าสูง และการใช้แรงงานที่เน้นความรู้สูงขึ้น แรงงานที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน หรือความชำนาญที่ซับซ้อนขึ้น โดยมีเป้าหมายจะให้ประเทศพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเอง
โครงการประชารัฐ คือ การจับมือระหว่างภาครัฐกับภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจเอกชนขนาดยักษ์ เคลื่อนไหวสู่มวลชนระดับฐานราก และจะจัดตั้งกลุ่มทำงานเพื่อกระตุ้นความคิดริเริ่ม การท่องเที่ยวแบบประชุมระดับชาติ
นี่คือสัญญาประชาคมของผู้เข้ามายึดอำนาจ
แต่เกือบ 5 ปีที่ผ่านมามีอะไรเป็นรูปธรรมบ้าง ผู้คนในบ้านเมืองส่วนใหญ่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างที่กำลังเห็นขณะนี้ ตั้งโจทย์กันใหม่ในการแก้ปัญหาดีกว่า โดยเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง
1. ทำอย่างไรประชาชนฐานรากจะมั่นคงและมีชีวิตดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง
2. ทำอย่างไรในการดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง
3. ทำอย่างไรให้ที่ดินกระจายสู่ประชาชนในวงกว้าง
4. ทำอย่างไรระบบการเงินจะให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ขนาดย่อม มีโอกาสมากขึ้น
5. ทำอย่างไรระบบการศึกษาจะสร้างเยาวชนให้เติบโตเป็นคนดี มีความรู้ เพื่ออาชีพในวันข้างหน้า
6. ทำอย่างไรประชาชนจะมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสำคัญๆของบ้านเมือง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ เกี่ยวกับปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ
เพียง 6 ข้อนี้ ตาจะสว่างและเดินถูกทาง
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี