หลังจากที่มีคนพยายามยื้อมานาน ในที่สุดก็ได้เวลา “ผ่า” เสียที
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งหัวโต๊ะ มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกายุบเลิกสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. ... ซึ่งกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไป
ความหมายก็คือ การผ่าโครงสร้างการบริหารงานของหน่วยงานที่เคยสังกัดสำนักงานพัฒนาพิงคนคร
แบ่งแยกและโยกย้ายออกไปอยู่ภายใต้กำกับของหน่วยงานราชการปกติ ที่มีผลงานดีกว่าเดิม
1. สํานักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 โดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสํานักงานพัฒนาพิงคนคร สํานักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ตําบลช้างเผือก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
โดยมีสํานักงานภายใต้การควบคุม ได้แก่ สํานักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ (ก่อนหน้านั้นอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานอื่น)
2. เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย กินเนื้อที่ 819 ไร่ จัดตั้งเป็นสวนสัตว์กลางคืนและกิจกรรมสันทนาการ
ส่วนโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 ก็มีการใช้ที่ราชพัสดุ เนื้อที่ 335 ไร่ บริเวณตําบลช้างเผือก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ช่วงที่รวบเข้ามาอยู่ภายใต้การบริหารของสํานักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เมื่อปี 2556 ตอนนั้นคาดกันว่าจะทำโครงการพัฒนามากหลาย รวมทั้งกระเช้าไฟฟ้า และโครงการ
ที่กระทบทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกหลายโครงการจึงถูกเอ็นจีโอคัดค้าน
3. สาระสำคัญของร่าง พ.ร.ฎ.ที่ ครม.เห็นชอบล่าสุด ได้แก่
ให้โอนศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ และบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน หนี้ งบประมาณ และรายได้ในส่วนของศูนย์ประชุมฯ ไปเป็นของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
ให้โอนเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และรายได้ในส่วนของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ไปเป็นขององค์การสวนสัตว์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
แน่นอนว่า เจ้าหน้าที่เดิมบางส่วนต้องพ้นจากตำแหน่ง
แต่ก็ให้มีการคัดเลือกบุคลากรเดิมไปปฏิบัติงานเป็นบุคลากรของกรมธนารักษ์ หรือองค์การสวนสัตว์ แถมยังเปิดทางให้นับเวลาการทำงานต่อเนื่องจากการปฏิบัติงานในสำนักงานพัฒนาพิงคนครได้ด้วย
4. แม้แต่ในยุคนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อมีแนวทางที่ผ่าโครงสร้างการบริหารใหม่ ก็มีกลุ่มคนที่เกรงว่าตนเองอาจสูญเสียผลประโยชน์ แสดงการคัดค้านมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น
กลุ่มรถสี่ล้อแดง ที่เคยได้ค่าคอมมิชชั่นจากการนำนักท่องเที่ยวเข้าชมไนท์ซาฟารี
กลุ่มผลประโยชน์ที่ขายอาหารสัตว์ พืช ผักผลไม้ให้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
น่าสังเกตว่า การยุบสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ยังมิใช่การยุบเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติแต่อย่างใด เพียงแต่เปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการบริหาร
นั่นหมายความว่า ที่ผ่านมา มีผลประโยชน์ส่วนตัวบางอย่าง ผูกติดอยู่กับตัวอำนาจบริหารเดิม จึงเกิดความกริ่งเกรงว่าถ้าเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจการบริหารแล้วจะสูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งๆ ที่ การเปลี่ยนแปลงนั้น ก็เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม
5. แน่นอน การบริหารใหม่ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารจัดการทรัพยากร ที่เคยเป็นอาณาจักรผลประโยชน์เฉพาะ ก็จะต้องดำเนินการใหม่ ตามระบบระเบียบราชการ ซึ่งก็ไม่น่าจะกระทบต่อประสิทธิภาพการบริหารของทั้งสองหน่วยงาน เพราะทั้งองค์การสวนสัตว์ และกรมธนารักษ์ ก็ทำหน้าที่กำกับดูแลบริหารจัดการทั้งสวนสัตว์และศูนย์ประชุมอื่นๆ อยู่แล้ว
ดูง่ายๆ สวนสัตว์เชียงใหม่ ที่บริหารโดยองค์การสวนสัตว์ ได้รับความนิยม ได้รับคำชมเชย สูงกว่าเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีมาก
จากผลงานที่ผ่านมา จึงกล่าวได้ว่า ดูดีกว่าการบริหารของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร ที่บริหารจัดการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จึงน่าจะเป็นแนวโน้ม นิมิตหมายที่ดีสำหรับองค์กรมากกว่าเดิม
แต่คนบางกลุ่มอาจไม่พอใจ เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวต้องกระเพื่อม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี