ปัญหาของการจัดจำหน่ายสลากกินแบ่งของรัฐบาลในปัจจุบัน คือ
1) มีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กำหนด เพิ่มจำนวนสลากในยุค คสช. จาก 37 ล้านฉบับ เป็น 90 ล้านฉบับต่องวด แล้วก็ไม่ได้ผล
2) การเพิ่มปริมาณสลากกินแบ่งในยุค คสช. ถึงเกือบ 3 เท่าตัว ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นการมอมเมาประชาชนที่มีรายได้น้อย
3) คสช. ได้ออกคำสั่งลดส่วนแบ่งรายได้ที่เป็นรายได้แผ่นดิน จาก 28% ของรายรับจากการขาย เหลือเพียง 20% โดยนำ 8% ที่คลังสูญเสียรายได้ไป นำไปเพิ่มค่าการตลาดสำหรับการจัดพิมพ์และจำหน่ายอีก 5% ส่วนอีก 3% นำไปเข้ากองทุนพัฒนาสังคม
การแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ
สนช.กำลังพิจารณา พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลฯ ที่คณะรัฐมนตรีเสนอ
มีประเด็นที่ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง คือ
(1) การแก้ไข พ.ร.บ.ที่เสนอ เป็นการเปิดโอกาสให้สำนักงานสลากกินแบ่งฯ ออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่เป็นการพนันได้มากขึ้น
ซึ่งรวมถึงการออก Lotto หรือหวยออนไลน์รูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดเล้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น
ข้ออ้าง คือ มีไว้เพื่อสู้และแข่งขันกับหวยใต้ดินหวยเถื่อนที่รัฐไม่สามารถปราบปรามได้ และอ้างว่าสำนักงานสลากกินแบ่งฯ จะต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีอยู่แล้ว แต่การแก้กฎหมายลักษณะนี้ก็คือการให้เช็คเปล่ากับรัฐบาลในการออกผลิตภัณฑ์สินค้าการพนันที่รัฐเป็นเจ้าของ
(2) การแก้ไข พ.ร.บ.ฉบับนี้ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอ เป็นการปรับโครงสร้างส่วนแบ่งรายได้เข้าแผ่นดินครั้งใหญ่ โดยลดรายได้เข้าแผ่นดินไปเพิ่มรายได้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีก 5%
จากเดิม
รายรับจากการขายสลากฯ 60% นำมาเป็นรางวัล
28% นำมาเป็นรายได้เข้าแผ่นดิน
12% เป็นค่าใช้จ่ายการตลาด
เปลี่ยนใหม่มาเป็น
รายรับจากการขายสลากฯ 60% นำมาเป็นรางวัลเหมือนเดิม
23% นำมาเป็นรายได้เข้าแผ่นดิน
และ 17% เป็นค่าใช้จ่ายการตลาด
เท่ากับว่า รายได้ของแผ่นดินจะลดลงประมาณเกือบ 9 พันล้านบาทต่อปี และสำนักงานสลากฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละเกือบ 9 พันล้านบาท เขาเอาไปทำอะไรบ้าง น่าติดตาม!
(3) การแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ ครั้งนี้ เท่ากับว่าเป็นการแก้กฎหมายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่คำสั่ง คสช. ที่ 11/2558 (1 พฤษภาคม 2558) ที่ได้เคยสั่งให้ลดรายรับจากแผ่นดินไปให้แก่สำนักงานสลากกินแบ่งอย่างถาวร
แต่ยกเลิกคำสั่งของ คสช. ฉบับเดียวกัน ที่นำเงิน 3% ของรายรับจากการขายสลากฯ ไปตั้งกองทุนพัฒนาสังคมเพื่อช่วยรณรงค์ให้ลด-เลิกการพนัน และให้ยุบกิจการของกองทุนเพื่อลดการพนันของสังคม นำเงินคงเหลือคืนคลัง
ในความเป็นจริง หาก คสช.จะยกเลิกคำสั่งที่ 11/2558 ที่อ้างเพื่อแก้ไขการจำหน่ายสลากกินแบ่งเกินราคา
แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ยังดีกว่าและเหมาะสมกว่าการขอให้ สนช.แก้ไขพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในครั้งนี้
การปฏิรูประบบจำหน่ายสลากฯ ด้วยเทคโนโลยีใหม่
ข้อเสนอต่อไปนี้ ไม่จำเป็นต้องแก้ไข พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และเป็นข้อเสนอที่สอดคล้องกับข้อเสนอของมหาวิทยาลัยรังสิต และองค์กรพัฒนาเอกชน 4 องค์กร ดังนี้
1. การเพิ่มจำนวนสลากฯ จาก 37 ล้านฉบับ เป็น 90 ล้านฉบับ ไม่สามารถแก้ปัญหาการขายสลากเกินราคาได้ เพราะพฤติกรรมของคนซื้อสลากฯ มองด้วยมายาคติว่า สลากฯ ทุกใบมีโอกาสถูกรางวัลไม่เท่ากัน
เลขตองหรือเรียงเบอร์ เชื่อว่าจะมีโอกาสถูกรางวัลต่ำกว่าเลขทั่วๆไป
ทั้งๆ ที่ เลข 6 หลัก ที่กำหนดขึ้นทุกตัว (ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างเลข 367213 หรือ 333333) มีโอกาสถูกรางวัลหรือถูกกินเท่ากัน เพราะเลขเจาะจง 367213 ก็มีโอกาสน้อย เพราะเป็นการเจาะจงตัวเลขเช่นกัน
แต่ด้วยมายาคตินี้ จึงทำให้เลขสลากฯ จำนวนหนึ่งมีความต้องการน้อย เลขอีกจำนวนหนึ่งมีความต้องการมาก โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ทรงเจ้าใบ้หวย จึงเกิดข่าวลือในตัวเลขขึ้น รวมทั้งทะเบียนรถยนต์ของผู้มีอำนาจที่เปลี่ยนรถยนต์ใช้และสื่อมวลชนประโคมข่าวเน้นย้ำตัวเลขบรรดาตัวเลขที่ต้องการเหล่านี้ทำให้คนเดินขายสลากฯ (คนเดินหวย) สามารถหากำไรพิเศษได้ด้วยการขึ้นราคา
2. เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โลกที่เปลี่ยนไป แอพพลิเคชั่นที่ปรากฏในโทรศัพท์มือถือปัจจุบันสามารถช่วยได้
โดยไม่ใช่เป็นหวยออนไลน์ ที่ให้เอกชนสัมปทานผูกขาด กล่าวคือ
2.1 ผู้ซื้อสามารถซื้อตรงจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
โดยให้ผู้ซื้อสลากโหลดแอพพลิเคชั่นของสำนักงานสลากฯ และสามารถเข้าไปเลือกสลากกินแบ่งว่าชอบใบไหน
(1 ใบ มีตัวเลข 6 หลัก แต่ละใบมีตัวเลขไม่ซ้ำกัน) เมื่อมีคนกดเลือกใบใดและจ่ายโอนเงินแล้ว ก็ระบุเลขบัตรประชาชนหรือสแกนลายมือผู้ซื้อก็ได้
แล้วผู้ซื้อก็จะได้รูปถ่ายการซื้อสลากฯ เป็นหลักฐาน (เหมือนการโอนเงินธนาคารในปัจจุบัน)
2.2 เมื่อถูกรางวัล สำนักงานสลากฯ จะโอนเงินรางวัล (หักภาษี) มาให้ตามเลขบัญชีธนาคารที่โอนไปซื้อสลาก จึงเป็นการโอนเงินรางวัลให้ไม่ผิดตัว
ป้องกันการแอบอ้างความเป็นเจ้าของอย่างที่เคยเกิดขึ้นระหว่างครูกับตำรวจ
2.3 สามารถจำกัดผู้ซื้อที่เป็นเยาวชนอายุน้อยได้ เพราะเลขประจำตัวในบัตรประชาชนจะบอกข้อมูลถึงอายุผู้ซื้อสลาก
2.4 ผู้ซื้อสลากสามารถเลือกใบสลากได้ง่าย ไม่ต้องเชื่อข่าวลือว่าผู้ขายสลากที่มหาชัยมีรางวัลเด็ด เคยถูกรางวัลที่หนึ่งมาแล้วถึง 15 ใบ ผู้ซื้อจะซื้อเลขอะไรก็ค้นหาจากแอพพลิเคชั่นได้ในราคาคงที่
2.5 นอกจากสำนักงานสลากฯ จะควบคุมราคา ควบคุมเยาวชน ไม่ให้ซื้อได้แล้ว ยังมีข้อมูลและสถิติเพื่อรวบรวมวิเคราะห์ได้ว่าผู้ซื้อสลากฯ เป็นคนกลุ่มไหน อาชีพและเพศใด อยู่ในสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจระดับไหน กลุ่มคนที่ถูกหวยและถูกกินคือใคร นำเงินรางวัลไปทำอะไร ผู้ซื้อหวยเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่มาลงทะเบียนเป็นผู้มีรายได้น้อย มากน้อยแค่ไหน
ความรู้ทางวิชาการถึงผลกระทบทั้งทางบวกและลบจากการออกสลากกินแบ่งฯ จะทำให้เราพัฒนาแก้ไขได้ในอนาคตได้
2.6 รัฐบาลสามารถลดปริมาณสลากกินแบ่งฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอาจเหลือเท่าเดิม คือ 37 ล้านฉบับ หรือจะลดลงจากเดิมก็ได้ และไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลที่มอมเมาประชาชน
2.7 ประเด็นที่อาจจะมีผลกระทบอยู่บ้าง ก็คือ ผู้ขายสลากฯ
ผู้ขายสลากฯ ที่เคยได้รับจัดสรรโควตาและมีกำไรพิเศษจากโควตาจะได้รับผลกระทบและมักจะนำเอาผู้พิการออกหน้า ในความจริงผู้พิการเหล่านี้ต้องการรายได้จากการขาย ไม่ใช่ต้องการขายสิ่งพนัน ดังนั้น หากจะนำเงินที่ประหยัดได้จากค่าการตลาดที่ลดลงด้วยการซื้อ-ขายตรง (ตัดพ่อค้า/คนกลาง) มาช่วยกันสร้างรายได้จากการทำงานที่สร้างสรรค์ หาเงินที่ก่อให้เกิดการผลิตและบริการที่สร้างสรรค์สังคมได้ ก็เชื่อได้ว่าคนที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้ก็น่าจะพอใจ
ในระยะแรกที่ผู้บริโภคบางคน อาจไม่คุ้นเคยกับการซื้อสลากผ่านแอพพลิเคชั่น ก็ให้มีผู้ค้าปลีกที่ขายสลากผ่านแอพพลิเคชั่นในบางพื้นที่ ซึ่งจะสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยกว่า ขณะนี้เจ้ามือหวยเถื่อนก็มีการขายหวยเถื่อนผ่านแอพพลิเคชั่นมาก่อนหน้าแล้ว
เมื่อเทคโนโลยีใหม่ในยุค 4.0 ได้พัฒนาขึ้น ธุรกรรมการซื้อขายสลากกินแบ่งฯ ก็น่าจะพัฒนา เพื่อแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ประสิทธิภาพการดำเนินการ และการกระจายสลาก
ต้นทุนทางการตลาดที่มีมูลค่า 17% ของรายได้จากการขายสลากฯ คิดเป็นเงินเกือบ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี (คำนวณจากสลากฯ งวดละ 90 ล้านฉบับ) ที่ต้องละลายไปกับระบบพิมพ์กับระบบจัดจำหน่ายที่ล้าหลัง ซึ่งเป็นจำนวนเงินมหาศาล สามารถนำมาพัฒนาจ้างงานรองรับคนขายสลากเดิมและยังเหลือเพื่อพัฒนาประเทศ
2.8 วิธีการซื้อสลากกินแบ่งฯ ผ่านแอพพลิเคชั่นและการโอนเงินทางระบบอินเตอร์เนต อาจจะเป็นปัจจัยเสริมสำคัญในการพัฒนาการโอนเงิน จ่ายเงินที่ไม่ใช้ธนบัตรและเหรียญ เป็นประเทศก้าวหน้า พัฒนาสังคมไร้เงินสด จากวัฒนธรรมการซื้อขายสลากกินแบ่งฯ (หวยรัฐบาล) ที่อยู่กับสังคมไทยมานาน เพราะแม้แต่ “หวยเถื่อน” ในปัจจุบันก็มีออนไลน์ไปเรียบร้อยก่อนหน้าแล้ว
2.9 การซื้อขายสลากฯ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยมิได้ขายเหมาสลากฯทุกใบให้กับพ่อค้าผู้ได้รับจัดสรรโควตา อาจจะทำให้สลากฯ บางเลขขายไม่ได้ จำเป็นต้องมีกองทุนรับซื้อคืนสลากฯ โดยนำเงินที่ประหยัดจากการบริหารจัดการในข้อ 2.7 มาสนับสนุนกองทุนและกองทุนก็อาจถูกรางวัลจากสลากฯ ที่ซื้อคืนเองด้วย
2.10 ข้อจำกัด หรือข้อห่วงใยที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ซื้อสลากฯ บางส่วนที่อยู่ไกลมากๆ ไม่มีอินเตอร์เนตในการใช้แอพพลิเคชั่นยังต้องเดินทางเพื่อซื้อสลากฯ ในพื้นที่ที่มี Wi-Fi แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับสลากฯ ที่เป็นใบก็ไม่แตกต่างกัน เพราะต้องเดินทางไปซื้อสลากฯ ในพื้นที่ที่มีสลากฯ จำหน่าย
ผู้สูงอายุบางส่วนอาจไม่คุ้นเคยต่อการใช้แอพพลิเคชั่น ต้องไหว้วานลูกหลานซื้อสลากฯ ซึ่งไม่ต่างจากปัจจุบันที่ผู้สูงอายุบางส่วนใช้ลูกหลานไปซื้อใบลอตเตอรี่ แต่การไหว้วานลูกหลานซื้อผ่านแอพพลิเคชั่นมีข้อดีกว่า คือ ต้องระบุหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ของผู้ฝากซื้อ
แต่เมื่อพิจารณาว่าสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสินค้าสิ่งไม่พึงจะส่งเสริม ที่จะแพร่ขยายการบริโภคและการจำหน่าย
การจำกัดการเข้าถึงอย่างสะดวกในพื้นที่ห่างไกล ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี