วิกฤติ “ฝุ่น PM2.5” หรือฝุ่นขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน ลามหนักถึงขนาดที่กระทรวงศึกษาธิการต้องสั่งปิดสถานศึกษาทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร (กทม.) ทุกระดับยกเว้นมหาวิทยาลัยเนื่องจากอยู่ในอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ระหว่างวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา รวมถึงทางผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.อ.อัศวินขวัญเมือง ได้ประกาศให้ กทม. เป็นเขตควบคุมมลพิษสั่งคุมเข้มทั้งรถเครื่องยนต์ดีเซลที่มีควันดำเกินมาตรฐานห้ามเผาวัตถุในที่โล่ง และควบคุมฝุ่นละอองจากการก่อสร้างต่างๆ
เมื่อพูดถึงวิกฤติฝุ่นละอองหลายคนก็มักจะคิดไปต่างๆ นานา ว่าเกิดจากสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ รศ.ดร.จำนง สรพิพัฒน์ กรรมการบริหารสมาคมวิจัยวิทยาการขนส่งแห่งเอเชีย ได้กล่าวไว้ในเสวนา “PM 2.5 ผลร้ายการพัฒนา สวนทางความยั่งยืน” จัดโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) แบบ “ฟันธง” ว่าสำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น “การจราจรติดขัดคือสาเหตุอันดับ 1 ของฝุ่น PM2.5” ไม่ใช่การเผาหรือแม้แต่การก่อสร้าง
อาจารย์จำนง ท่านอธิบายว่า “ฝุ่น PM2.5 เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์” หรือที่เรียกกันว่า “เขม่า” เช่น ไอเสียจากรถยนต์โดยเฉพาะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล รองลงมาจึงเป็นการเผาวัชพืชหรือเผาขยะในที่โล่งแจ้ง “การจราจรติดขัดทำให้รถวิ่งช้า ความเร็วรอบต่ำมากก็จะเป็นช่วงที่เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้ต่ำมากด้วย” พลังงานที่ถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนก็จะถูกปล่อยออกมาเป็นควันพิษ “ยิ่งใช้รถเดินทางนานเท่าไหร่ ความเข้มข้นของไอเสียรถยนต์ก็มาก เวลาการปล่อยไอเสียออกมาก็นาน” ดังนั้นปัญหารถติดกับฝุ่น PM2.5 จึงมีความสัมพันธ์กัน
ส่วนโครงการก่อสร้างต่างๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสารพัดสายที่เร่งทำกันตอนนี้ “มีผลกระทบทางอ้อมไม่ใช่ทางตรง” กล่าวคือ “ฝุ่นละอองจากการก่อสร้างเป็นฝุ่นประเภท PM10” หรือฝุ่นขนาดเล็ก 10 ไมครอนเช่นเดียวกับการเผาในที่โล่งแจ้งทั้งหลายฝุ่นส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นก็จะเป็น PM10 เช่นกัน ดังที่ปรากฏเป็นข่าวทุกปีในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย “แต่การก่อสร้างรถไฟฟ้านั้นต้องปิดกั้นผิวการจราจร” แน่นอนว่าลำพังแม้ไม่ปิดรถก็ติดอยู่แล้ว ยิ่งปิดการจราจร เสียผิวถนนไป1-2 เลน การจราจรในเมืองกรุงย่อมกึ่งๆ จะกลายเป็นอัมพาตไปโดยปริยาย
ถามว่าสถานการณ์การจราจรติดขัดของเมืองกรุงวิกฤติรุนแรงแค่ไหน?..เรื่องนี้ 1 ในผู้ที่ให้คำตอบได้คือดร.สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI โดยระบุว่า “เมื่อ 10 ปีก่อนสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ความเร็วรถอยู่ที่เฉลี่ย 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (กม./ชม.) ในช่วงเวลาเร่งด่วนวันนี้ลดลงมาอยู่ที่ 15-16 กม./ชม. ส่วน กทม. ชั้นนอกเมื่อ 10 ปีก่อนความเร็วรถอยู่ที่เฉลี่ย 45 กม./ชม. แต่วันนี้อยู่ที่ 35 กม./ชม.” ชี้ให้เห็นว่า กทม. ไม่ว่าจุดไหนก็เจอปัญหาการจราจรก็ติดขัดทั้งสิ้น
คุณสุเมธกล่าวต่อไปว่า สอดคล้องกับข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ที่พบว่า “ในปี 2551 มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (รถเก๋ง) จดทะเบียนในกรุงเทพฯ 2 ล้านคันแต่ในปี 2560 มีเพิ่มมาเป็น 4.2 ล้านคัน เพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 8 ต่อปี ส่วนรถบรรทุกเล็ก (รถกระบะ) ปี 2551จดทะเบียนในกรุงเทพฯ 9.4 แสนคัน ในปี 2560 มีเพิ่มมาเป็น 1.3 ล้านคัน เพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 3.5 ต่อปี” และล่าสุด“ในปี 2561 เพียงปีเดียว มีรถจดทะเบียนใหม่ใน กทม.เป็นรถเก๋งเกือบ 3.5 แสนคัน รถกระบะเกือบ 9.6 หมื่นคัน”ยังไม่นับรวมการจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์และรถบรรทุก
ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาสารพัดยังประดังประเดมาชนกันทั้งทางตรงอย่าง “รถกระบะที่วิ่งกันอยู่นั้นร้อยละ90-95 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล”, “ในปี 2560 พบจำนวนรถกระบะอายุ 20 ปีขึ้นไป ที่วิ่งในกรุงเทพฯ ร้อยละ 12”,“คนใช้รถกระบะกันนานขึ้น จากปี 2551 อายุการใช้รถอยู่ที่ 7 ปี ในปี 2560 พบเพิ่มเป็น 9.3 ปี” และทางอ้อมอย่างปัญหาการจราจรติดขัดส่งผลต่อประสิทธิการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งนอกจากรถกระบะแล้ว ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกเจ้าเดิม ยังระบุว่า ในปี 2561 มีรถบัสจดทะเบียนสะสมใน กทม. 4.4 หมื่นคันรถบรรทุก 1.43 แสนคัน
บทสรุปของเรื่องนี้ ทั้งอาจารย์จำนงและคุณสุเมธ(รวมถึงอีกหลายเวทีเสวนาที่เชิญนักวิชาการไปพูดในเรื่องเดียวกัน) เสนอว่า “ต้องหาทางลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลลง” พร้อมกับยกตัวอย่างบรรดาประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายไม่ว่าในโลกตะวันตกหรือตะวันออก แต่ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารอยู่บ่อยๆ จะทราบว่า “เมืองไทยถ้าใครเสนอจัดระเบียบการครอบครองหรือการใช้รถยนต์ส่วนตัว ผลคือเละทุกราย” ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ในปี 2561 ซึ่งเป็นปีแรกที่ปรากฏข่าวฝุ่น PM2.5นายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ มีข้อเสนอว่า “ห้ามจอดรถริมถนนช่วงเวลา06.00-21.00 น. รวมถึงอาจต้องให้ใช้รถสลับทะเบียนเลขคู่เลขคี่” หรือย้อนไปในปี 2556 ที่ช่วงนั้นมีข่าว กทม.เป็นเมืองรถติดอันดับต้นๆ ของโลก พล.ต.ต.อดุลย์ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ในขณะนั้น)เสนอมาตรการ “ห้ามรถเก่าอายุ 7-10 ปีขึ้นไป วิ่งใน กทม.”ทั้ง 2 กรณีเมื่อสื่อนำเสนอข่าว “ประชาชนทุกเสื้อสีสามัคคีร่วมคัดค้านอย่างพร้อมเพรียงกัน” จนต้องพับนโยบายเก็บแทบไม่ทัน
ล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์นี้ 30 ม.ค. 2562 เพียงมีข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปรยขึ้นมา “อาจต้องออกมาตรการจำกัดการใช้รถส่วนบุคคลตามวันคู่-วันคี่ และห้ามใช้รถคนเดียว” เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่น เสียงคัดค้านก็ตามมาทันทีเว็บไซต์ หรือเฟซบุ๊คแฟนเพจต่างๆ ที่มีการแชร์ข่าวดังกล่าวพบข้อความวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจำนวนมาก
ทำไมรถยนต์ส่วนบุคคล (ไม่ว่าเก๋งหรือกระบะ)จึงกลายเป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนมากขาดไม่ได้?..เห็นได้จากทุกครั้งที่ใครเสนอนโยบายคุมการมีและใช้รถส่วนตัวเสียงคัดค้านมักให้เหตุผลว่า “เพราะขนส่งมวลชนไม่สะดวก”ซึ่งต้องบอกว่าเรื่องนี้มีที่มา “ที่นี่แนวหน้า” ขอชวนท่านผู้อ่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ (หรือปริมณฑล) เป็นเวลานานๆลองสังเกตถนนย่านรอบๆ หรือในละแวกบ้านท่าน ว่า ณ วันนี้ อะไรเปลี่ยนไปจากเมื่อ 10-20 ปีก่อน
เชื่อเหลือเกินว่าคงมีท่านผู้อ่านหลายคนตอบว่า“มีหมู่บ้านใหม่ๆ มีชุมชนใหม่ๆ เกิดขึ้นในหลายพื้นที่เคยถูกเรียกว่าชานเมือง ตรอกซอกซอยหรือถนนสายรอง”เวลาผ่านไปที่ดินถูกพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ หมู่บ้านจัดสรรบ้าง ตึกแถวบ้าง ห้องพักให้เช่ารายเดือนบ้าง หรือถ้าขนาดถนนกว้างพอก็อาจมีคอนโดมิเนียม“ประเทศไทยใครอยู่ตรงไหนก็อยู่ได้ ไม่ได้มีการแบ่งพื้นที่เป็นย่านต่างๆ อย่างเมืองนอก” และเมื่อคนหรือชุมชนเกิดแบบกระจัดกระจาย ให้รัฐบาลเก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางจัดระบบขนส่งมวลชนได้สะดวกและเพียงพอ
การเกิดขึ้นของระบบขนส่งกระแสรองอย่าง “วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง-รถสองแถว” คือหลักฐานเชิงประจักษ์ในการขยายตัวของชุมชนไปทั่วจนรัฐไม่อาจจัดขนส่งสาธารณะให้ได้ จึงต้องยอมรับให้บริการข้างต้นถูกกฎหมาย และเมื่อต่อมาประชาชนมีความพร้อมทางเศรษฐกิจก็ย่อมต้องกัดฟันผ่อนรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ “ซื้อชีวิตที่ดี” ดังนั้นสำหรับเมืองไทยจึงอาจ “สิ้นหวัง” หากคิดเรื่องลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ โดยรัฐคงต้องไปทำอย่างอื่นที่มีแรงต้านน้อยกว่าแทน เช่น คุมเข้มเรื่องสภาพรถและมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิง!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี