เปิดรับสมัครไปแล้ว 4 วัน พรรคใหญ่ส่งผู้สมัครครบถ้วนแล้ว แต่ว่ามีเพียง ประชาธิปัตย์ กับพลังประชารัฐและภูมิใจไทย เท่านั้นที่ส่งครบทั้ง 350 เขต แต่พรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย กลับส่งไม่ครบทุกเขต ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง? ขณะที่ 4 รัฐมนตรีสุดท้ายต้องตัดสินใจลาออก และเดินหาเสียงเต็มตัวในนามแกนนำพรรคพลังประชารัฐ และพรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันที่พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจว่าจะดำเนินการทางการเมืองอย่างไรต่อไป? ใครจะเป็นผู้ได้เปรียบที่สุดจากกติกาการเลือกตั้งในรอบนี้? แล้วใครคือคนที่ประชาชนควรเลือกมากที่สุด?
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครเขต 250 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน ส่วนไทยรักษาชาติส่งผู้สมัครสส.เขต 150 คน และบัญชีรายชื่อ 120 คน ถ้ามองผิวเผินจะดูทับซ้อนกันในบางส่วนเท่านั้น แต่ที่น่าสนใจคือพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยเพื่อไทยส่งลง 22 เขต ส่วนไทยรักษาชาติส่งลง 8 เขต ซึ่งเขตที่เพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครลงนั้น เป็นเขตที่ไทยรักษาชาติส่งผู้สมัครลงทั้งสิ้น และเมื่อใดที่เขตนั้นไทยรักษาชาติลง เพื่อไทยก็จะไม่ส่งลงเช่นกัน คำถามของประชาชนคือ ฮั้วกันหรือไม่? งานนี้มีประเด็นมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะดำเนินการอย่างสุดโต่งขนาดนี้
แม้กฎหมายจะเอื้อให้ทำเช่นนั้นได้ แต่ก็มีคำถามต่อไปถึงถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของทั้งคุณหญิงสุดารัตน์ ในนามพรรคเพื่อไทย และคุณจาตุรนต์ในนามพรรคไทยรักษาชาติ ในเรื่องอุดมการณ์และความแตกต่างของสองพรรคที่ทำเอาคนฟัง งง ไปตามๆ กัน ตลอดจนถึงคำถามต่อ ในการเลือกส่งผู้สมัครกรุงเทพมหานครในเขตที่เพื่อไทยไม่ส่งแล้วไทยรักษาชาติส่ง ที่บังเอิญว่าแทบจะทั้งหมด คือผู้สมัครที่เคยลงพรรคเพื่อไทย แล้วย้ายมาลงทั้งสิ้น แทบไม่มีผู้สมัครหน้าใหม่เลย ในขณะที่เพื่อไทยที่มีคะแนนในเขตนั้นอยู่แล้ว กลับเลือกที่จะไม่ส่งใครเลย หากมองอย่างบริสุทธิ์ใจ คงต้องถามว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงไม่ส่งลงสู้ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครหลายเขตที่ตนเองมีโอกาสได้ แต่กลับหลีกทางให้กับไทยรักษาชาติแข่งกับประชาธิปัตย์อย่างนั้นหรือ? หรือคำถามที่ 3 ต่อประเด็นคำถามว่าถ้าเช่นนั้นแล้ว หากประชาชนต้องเลือกนายกรัฐมนตรี นายกของพรรคเพื่อไทยเป็นใคร ก็ยังไม่มีความชัดเจน ด้วยการส่งรายชื่อถึง 3 คน เพราะเราเองคงไม่สามารถเลือกนายกครั้งละ 3 คนได้ และไม่มีช่องให้เลือกนายกคนใดคนหนึ่งของเพื่อไทย ทั้งหมดดูจะไม่ผิดกติกา แต่คงจะมีคำถามกลับไปที่กกต.และผู้ร่างกฎหมายว่าต้องการให้เป็นเช่นนี้หรือ?
ด้วยกติกาเดียวกัน บางส่วนของผู้มีอำนาจ ในปัจจุบันกำลังจะกลายเป็นผู้แข่งขันในครั้งนี้ด้วย และยิ่งไปกว่านั้น วันพรุ่งนี้แล้วจะเป็นวันที่ได้รู้ว่าผู้ที่ออกมาจัดการปัญหาความขัดแย้ง ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จะกลายเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันทางการเมืองเองในอนาคตหรือไม่? ถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์ถูกเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐ จริง บทบาทของพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะกรรมการกลางก็คงจะจบสิ้นลงทันที ความคาดหวังของประชาชน ต่อพล.อ.ประยุทธ์ก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน หากจะนับย้อนไปเส้นทางของว่าที่นายก ที่กำลังจะถูกเสนอชื่อ หากคนคนนั้นเป็นพล.อ.ประยุทธ์จริง มีความสัมพันธ์อะไรเกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา?
ประการแรก พรรคพลังประชารัฐเกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ก็คงไม่มีใครตอบได้ แต่ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคนี้ก็มีการให้สัมภาษณ์หรือการส่งสัญญาณหลายอย่างที่ถูกมองว่าพรรคนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่? และเมื่อจัดตั้งพรรคเป็นทางการเสร็จเมื่อปลายปีที่แล้ว แกนนำของรัฐบาลอย่างน้อย 4 คน ก็เป็นผู้เริ่มก่อตั้งหรือแกนนำบริหารพรรค ยังไม่นับข้าราชการการเมืองและที่ปรึกษาที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในพรรคตลอดจนสมัครสส. คำถามคือตั้งแต่ก่อตั้งพรรคจนถึงวันนี้ มีการดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลที่สอดคล้องกับการเดินเกมของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่? จนถึงขณะมีข่าวที่ระดับแกนนำพรรคบางคนออกมาพูดทำนองว่า “รัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อเรา” คำพูดนี้เป็นจริงหรือไม่?
สอง ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของสว. ต่อการเลือกนายก ในอนาคต ที่ดูเหมือนรัฐธรรมนูญที่ถูกร่างในยุคพล.อ.ประยุทธ์นี้ ได้กำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ของสว. ว่าเป็นอย่างไร? ซึ่งสว.ชุดนี้จะมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี และในวาระเริ่มแรกจะมีอำนาจให้ความเห็นชอบผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายก ได้ด้วย ทีนี้เมื่อลองมาดูที่มาของสว. ซึ่งจะมีส่วนที่สรรหาโดยคสช. 194 คน และส่วนที่คสช.รอพิจารณาเลือกอีก 50 คน ซึ่งแม้จะบอกว่ามีขั้นตอนกระบวนการสรรหาจากผู้สมัครหลายพันคนให้เหลือ 200 คน แต่สุดท้ายก็เป็นส่วนที่คสช.มีสิทธ์ิตัดสินใจเลือกในตอนท้ายอยู่ดีหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีคำถามต่อประเด็นเรื่องสัดส่วนว่า ควรเป็น สว. เลือกตั้งหรือสรรหามากกว่ากัน ซึ่งการมีชื่อพล.อ.ประยุทธ์และไม่มีชื่อพล.อ.ประยุทธ์ อาจทำให้คนสงสัยได้ว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจต่อการสรรหาสว. เหล่านี้หรือไม่?
สาม หน่วยงานที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ กฎหมายใหม่ ระเบียบใหม่ กรรมการเองก็ใหม่ ซึ่งก็น่าเห็นใจทุกฝ่ายที่ต้องมาเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกันครั้งแรก ยังไงก็ตามก็หนีไม่พ้นการถูกวิจารณ์ว่า ระบบการเลือกตั้งใหม่กำลังบีบให้พรรคการเมืองอ่อนแอหรือไม่? ตั้งแต่ความวุ่นวายของรูปแบบของบัตรที่มีออกมาก่อนหน้านี้ตลอดจนระเบียบวิธีในการหาเสียงที่เข้มงวดรัดกุม นัยหนึ่งก็เพื่อป้องกันการทำผิดกฎหมายหรือเพื่อป้องกันไม่ให้มีการใช้คนอื่นมาช่วยเอาเปรียบในการหาเสียง แต่อีกนัยหนึ่งก็อาจสะท้อนการตั้งกติกาเพื่อตีกรอบบางอย่าง จนส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้กระทำด้วยความลำบากและกลัวเสียจนขยับอะไรไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อาจเป็นคนละเรื่องกับความบริสุทธิ์ยุติธรรมในการเลือกตั้งก็เป็นได้
สี่ ความสัมพันธ์ของฝ่ายปกครองกับพลเอกประยุทธ์ ต้องยอมรับว่า หลังรัฐประหารใหม่ๆ รัฐบาลคสช. ได้เข้ามาจัดการความวุ่นวายระส่ำระสายในบ้านเมืองแบบลงลึกทั่วประเทศ โดยเฉพาะการลงดาบการเมืองฝ่ายท้องถิ่นให้ถูกแขวนไปจำนวนไม่น้อย หากแต่หนึ่งปีก่อนการเลือกตั้งพบว่ามีความพยายามหรือกระบวนการจัดการบางอย่าง ต่อนักการเมืองท้องถิ่นที่ถูกแขวนไว้ในแบบต่างๆ กัน มีทั้งกรณีรอดและกรณีเปลี่ยนตัว ในขณะที่หลายคน ตนเองหรือญาติพี่น้องย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐในที่สุด เหล่านี้มีความเกี่ยวพันกันในการตอบแทนทางการเมืองหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ?
พรุ่งนี้คาดว่าพรรคพลังประชารัฐที่มีการปราศรัยใหญ่ น่าจะมีการเปิดตัวคนสำคัญในฐานะว่าที่นายกของพรรค ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีชื่อของพล.อ.ประยุทธ์หรือดร.สมคิดหรือไม่? ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจของประชาชนโดยดูจากผลงานที่ผ่านมา โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจอย่างการแก้ปัญหาปากท้องตลอดจนนโยบายสิทธิเสรีภาพประชาชน ที่สำคัญก็จะเป็นตัวชี้วัดว่าที่ผ่านมาพยายามปูทางกันมาเพื่อสิ่งนี้หรือไม่?
“...ระหว่างคนที่รักกัน ไฉนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระแวงคลางแคลงซึ่งกันและกันหรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของความรัก…”
โกวเล้ง จากเรื่องหลั่งเลือดสะท้านภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี