สมาชิกวุฒิสภาชุดแรก มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และในบทเฉพาะกาลในช่วงวาระ 5 ปีแรกนั้น กำหนดอำนาจหน้าที่ไว้อย่างมีนัยสำคัญทางการเมืองหลายประการ
1. ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี
สืบเนื่องมาจากคำถามพ่วงประชามติ คือ ให้ สว.ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีกับ สส.
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ระบุว่า การให้ความเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรีในระหว่าง 5 ปีแรก ให้กระทำให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยจะต้องมีมติเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งขอจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา
ถ้าพรรคการเมืองสามารถรวมเสียงได้เกิน 376 เสียง (ทั้ง สส. สว.) ก็ยกมือให้คนในบัญชีรายชื่อนายกฯ ที่พรรคการเมืองยื่นไว้กับ กกต. ก็ถือว่าได้รับฉันทานุมัติท่วมท้นจากสภา เสียงปึ้ก
แต่ถ้า สว. 250 คน ไม่สนับสนุนชื่อบุคคลในพรรคการเมืองใด พรรคนั้นก็จะต้องการเสียงสนับสนุนจาก สส.อย่างเดียวถึง 376 เสียง จึงจะได้นายกฯ ซึ่งถ้าได้ ก็ถือว่าปึ๊กยิ่งกว่าปึ๊ก
แน่นอนว่า สว.จะเป็นกลุ่มอำนาจที่มีพลังต่อรองกับกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองต่างๆ อยู่ไม่น้อย
คนที่จะมาเป็นนายกฯ ของประเทศ จึงต้อง “ประนอมอำนาจ” หรือหาฉันทานุมัติจากตัวแทนกลุ่มอำนาจต่างๆ ในรัฐสภามากกว่าที่เป็นมาในอดีต
นอกจากนี้ กรณีไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ สมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา อาจเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ทั้งนี้ รัฐสภาต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ นั่นก็คือการเลือกนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีของพรรคการเมือง
2. ติดตาม เร่งรัดการปฏิรูปประเทศ
มาตรา 270 ให้ สว.ในวาระ 5 ปีแรก มีหน้าที่และอํานาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ และการจัดทําและดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้คณะรัฐมนตรี แจ้งความคืบหน้าในการดําเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุก 3 เดือน
การติดตามการปฏิรูปประเทศ วุฒิสภาจะไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษกับรัฐบาลโดยตรง แต่อาจนำไปสู่การกดดัน หรือการอภิปรายที่ไม่มีการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ ในประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ
ไม่แปลกใจ ถ้า สว.ที่แต่งตั้งเข้ามาในวาระแรกนี้ จะมีอดีต สปช. สปท. หรือคนที่เคยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ
รวมถึงอาจจะมีอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.เข้ามาเป็น สว. ก็ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้
3. ต้านกฎหมายล้างผิดแบบสุดซอย
ในช่วง 5 ปีแรก หากสภาผผู้แทนราษฎรผลักดันกฎหมายล้างผิดสุดซอยแบบเดิมอีก จะไม่สามารถใช้เสียงข้างมากลากไปแบบเดิมได้อีก โดยสว.อาจยับยั้งกฎหมายนั้นได้อย่างชะงัด
มาตรา 271 กำหนดไว้ว่า ในวาระเริ่มแรกของวุฒิสภา “..การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรยับยั้งไว้ตามมาตรา ๑๓๗ (๒) หรือ (๓) ให้กระทําโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ถ้าร่างพระราชบัญญัตินั้นเกี่ยวกับ
(๑) การแก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ เฉพาะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น มีผลให้ผู้กระทําความผิดพ้นจากความผิดหรือไม่ต้องรับโทษ
(๒) ร่างพระราชบัญญัติที่วุฒิสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ว่ามีผลกระทบต่อการดําเนินกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง
มติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา”
น่าสังเกตว่า การกำหนดให้ใช้มติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโดยต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของรัฐสภา คือ ไม่น้อยกว่า 500 เสียง
ความหมาย คือ ถ้า สว. 250 ไม่เห็นชอบกฎหมายล้างผิดสุดซอย หรือกฎหมายที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น ก็เท่ากับว่า นักการเมือง พรรคการเมือง จะต้องใช้เสียง สส. แบบเอกฉันท์ทั้งสภาผู้แทนราษฎร 500 คน จึงจะล้างผิดคนโกงได้
การนิรโทษกรรม หรือล้างผิดจะเกิดได้ จะต้อง “ประนอมอำนาจ” กัน
ใครจะหักหาญเอาฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา ไม่ได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี