โดยจารีตดั้งเดิม มนุษยศาสตร์ (Humanities) เป็นการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ การสำนึกคุณค่าในความเป็นมนุษย์ เป็นวิชาที่พยายามศึกษาให้เข้าใจ เข้าถึงความรู้สึกของมนุษย์ ผลงานสร้างสรรค์ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ไว้ โดยวิธีการศึกษาผ่านความเป็นวิชา (Disciplines) ที่เอามาใช้เฉพาะทาง เช่น วรรณกรรมศึกษา ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ดนตรี ศิลป ศาสนา วิธีการศึกษาหลักของมนุษยศาสตร์คือการตีความ การประเมินคุณค่าและการวินิจฉัยประสบการณ์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหาความหมายคุณค่าของประสบการณ์มนุษย์ ลักษณะทั่วไปดังกล่าวทำให้แต่ดั้งเดิมมาวิธีการศึกษาในแขนงวิชามนุษยศาสตร์มีลักษณะที่เน้นวิธีการเชิงอัตนัย
ปัจจุบันเมื่อโลกพัฒนาเข้าสู่ยุคดิจิทัล การศึกษาโดยผ่านวิธีการหาความรู้แบบอาศัยความก้าวหน้าจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะรูปแบบการประมวลผลเชิงดิจิทัล (Computation) ได้ทำให้เกิดการศึกษาเชิงสหวิทยาการหรือการบูรณาการระหว่างสาขาวิชามากขึ้น และด้วยวิธีการศึกษา ดังกล่าวทำให้มีแขนงวิชาใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น มนุษยศาสตร์ดิจิทัล (Digital Humanities) อันเป็นการบูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์เข้ากับการศึกษาทางด้านมนุษยศาสตร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และรูปแบบการคำนวณ หรือประมวลเชิงดิจิทัลเข้าไปใช้ในการศึกษาวิชาแขนงมนุษยศาสตร์ เดิมรู้จักกันในชื่อของ การประมวลผลทางมนุษยศาสตร์ (Humanities Computing) ส่วนการนำเทคโนโลยีและรูปการประมวลผลแบบเดียวกันไปใช้การศึกษาด้านสังคมศาสตร์จะถูกเรียกว่า Computational Social Science
โดยในระยะแรก เริ่มต้นจากความสนใจของนักมนุษยศาสตร์ที่คิดว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างในภาควิชามนุษยศาสตร์ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดเก็บข้อมูลงานเขียนและตัวบททางวรรณกรรมต่างๆ ด้วยการแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (digital form) ใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อง่ายและสะดวกต่อการสืบค้น ต่อมาก็ได้เริ่มประยุกต์นำมาใช้ในการศึกษาตัวบทต่างๆ โดยการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการวิเคราะห์ตัวบท การนับความถี่ของคำ การหาความสัมพันธ์ของถ้อยคำที่ถูกใช้ในตัวบท (automated text analysis) โดยถูกนำมาใช้ศึกษาตั้งแต่พระคัมภีร์ ตัวบทในวรรณคดี นวนิยาย วรรณกรรม โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ข้อเขียนทางการเมืองไปจนถึงบทบัญญัติทางกฎหมาย หรือใช้วิธีทางสถิติเพื่อหารูปแบบความสัมพันธ์ของการเลือกใช้ถ้อยคำกับสไตล์การเขียนของนักเขียนแต่ละคนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความกำกวมในเรื่องผู้แต่ง
การบูรณาวิธีการคำนวณแบบดิจิทัลเข้ากับการศึกษาด้านมนุษยศาสตร์ถูกบุกเบิก โดย โรแบร์โต บูซา (Roberto Busa : 1913-2011) นักเทววิทยา ชาวอิตาลี ผู้ได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่ง Digital Humanities (ในเวลานั้นยังถูกใช้ชื่อว่า Humanities Computing) ที่ทำดัชนีค้นคำในงานเขียนของ Thomas Aquinas ทั้งหมดชื่อ Index Thomisticus งานชิ้นนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้กำลังจะสิ้นสุด อันเป็นการศึกษาความคิดเรื่อง “Presence” ในงานเขียนของ Thomas Aquinas บูซาเริ่มต้นด้วยการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับความคิดเรื่อง “Presence” ด้วยการค้นหาคำว่า “Presence” ผ่านดัชนีตารางและหัวข้อเรื่องทั้งหมดในงานของ Aquinas และพบว่าการปรากฏขึ้นของคำว่า “Presence” ทุกครั้งจะต้องถูกเชื่อมกับคำบุพบท (preposition) “in” อยู่เสมอ ขั้นตอนต่อไป บูซาจึงเขียนประโยคทุกประโยคที่มีคำว่า “in” หรือ คำทุกคำที่อยู่ติดกับคำว่า “in” ลงในกระดาษขนาด 3*5 นิ้ว จำนวน 10,000 ใบที่เตรียมไว้
ในปี 1946 ภายหลังจากวิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าวเสร็จสิ้น บูซาเริ่มคิดถึงโครงการจัดทำดัชนีคำทั้งหมดในงานเขียนของอะไควนัสรวมไปถึงคำประเภท สรรพนาม สันธานและบุพบทด้วย เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาเชิงเปรียบเทียบอย่างไรก็ตามเขาตระหนักดีว่ากระบวนการแยกแยะ จัดกลุ่มคำดังกล่าวที่มีจำนวนมากกว่าสิบล้านคำนั้นไม่สามารถทำได้ด้วยแรงงานคน แต่ต้องอาศัยเครื่องจักรเข้ามาช่วย
ในปี 1949 บูซาพร้อมด้วยคณะลูกศิษย์จำนวนหนึ่งจึงเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อตรวจสอบว่า มีสถาบันการศึกษาแห่งไหนมีเครื่องจักรประมวลผลที่จะสามารถเอาเข้ามาช่วยเป็นเครื่องมือในโครงการวิจัยของเขาได้ บูซาเริ่มต้นด้วยการไปพบกับหัวหน้าฝ่ายกองกิจยุโรป หอสมุดรัฐสภา สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้แนะนำให้เขารู้จักกับ Jerome Wiesner ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ที่ต่อมาในช่วงรัฐบาล จอห์น เอฟ.เคนเนดี้ (1961-1963) เจอโรม ไวซ์เนอร์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของประธานาธิบดีเคนเนดี้ และหลังจากนั้น ไวซ์เนอร์ก็มารับตำแหน่งอธิการบดีของ MIT ในช่วงปี 1971-1980
ไวซ์เนอร์ก็พาบูซาไปพบกับ Thomas Watson ประธานและซีอีโอ บริษัท IBM ผู้ซึ่งตกลงที่จะช่วยสนับสนุนเรื่องเครื่องจักรประมวลผลในงานของบูซา (โธมัส วัตสันเป็นประธานคนแรกของ IBM ปัจจุบันชื่อ Watson เป็นชื่อโครงการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ของศูนย์วิจัย Thomas J. Watson ที่ตั้งชื่อตามนายวัตสัน) ซึ่งในเวลานั้นยังคงเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รับอินพุต (Input) ข้อมูลหรือใช้วิธีอ่านโค้ดจากกระดาษแผ่นเจาะรู (Punched Card) ที่ออกแบบให้วิ่งผ่านช่องอ่านของเครื่องเพื่อให้อ่านข้อมูลหรือคำสั่งเข้าไปเพื่อทำการประมวลผลต่อไป ในโครงการจัดทำดัชนีคำ (concordance) ในงานเขียนทั้งหมดของโธมัส อะไควนัส หรือ Index Thomisticus บูซากับทีมงานใช้เวลาสามสิบปีในการทำบัตรหรือกระดาษที่นำมาเจาะเป็นรูคำต่อคำ จำนวน 10,666,000 คำ จาก 1,700,000 บรรทัด เพื่อเป็นข้อมูลที่จะส่งเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรมประมวลผล แยกแยะจัดหมวดหมู่คำต่างๆ เพื่อออกมาเป็นดัชนีคำ (อ่านต่อในสัปดาห์หน้า)
ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี