“อะไรที่เป็นของซีซ่าร์ก็ให้ซีซ่าร์ไป…อะไรที่เป็นของพระเจ้าก็ให้พระเจ้าไป”
นักบุญ ออกัสติน (St. Augustine) กล่าวไว้เมื่อพันหกร้อยกว่าปีก่อน อันเป็นที่มาของความคิดการแบ่งแยก...ระหว่าง อาณาจักรทางโลก กับ อาณาจักรของพระเจ้า, วิถีโลก กับ วิถีธรรม, การเมือง กับ ศาสนา เรื่อยไปจนถึงคำพูดประเภท พระต้องไม่ยุ่งกับการเมือง...ล้วนอยู่บนฐานคิดที่ว่า อาณาจักร กับ ศาสนาจักรไม่ควรมาเกี่ยวยุ่งกัน เป็นข้อถกเถียงวิชาการที่ดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน (Perennial Debate)
แต่สำหรับ โดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ว่าที่แคนดิเดตประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับนักบุญ ออกัสติน เท่าไรนัก...เพราะ เมื่อช่วงเทศกาลวันอีสเตอร์ (Easter) ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาของชาวคริสต์ เพื่อเฉลิมฉลองการฟื้นคืนชีพพระเยซูจากความตาย ทรัมป์ได้ฉวยโอกาสนี้โฆษณาหาเสียงให้กับตัวเอง ด้วยการเป็นพรีเซ็นเตอร์ขายพระคัมภีร์ไบเบิล ฉบับ พระเจ้าคุ้มครองสหรัฐ ที่มีข้อความระบุว่าเป็น...คัมภีร์ไบเบิลเล่มเดียวที่ได้การรับรองจากประธานาธิบดีทรัมป์...
แพ็กเกจพระคัมภีร์ชุดนี้ยังรวม รัฐธรรมนูญสหรัฐ, บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองสหรัฐ, คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐ และคำปฏิญาณต่อธงชาติสหรัฐ แถมอยู่ด้วยกันในราคา ٥٩.٩٩ ดอลลาร์ โดยขายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลชื่อว่า Truth Social และเว็บไซต์ GodBlessTheUSABible.com
แน่นอน สำหรับแฟนคลับทรัมป์นั้น พวกเขาพร้อมจะอุดหนุนธุรกิจพระคัมภีร์เชิงพาณิชย์และการเมืองนี้โดยไม่ตระหนักในข้อเท็จจริงที่ว่า.....
1)พระคัมภีร์ไบเบิลถือเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวคริสต์ทั่วโลก ไม่มีไบเบิลของอเมริกา ไบเบิลของทรัมป์ หรือของใครใดๆทั้งสิ้น
2)ทรัมป์ไม่ใช่บุคคลประเภทที่จะอ่านไบเบิลทุกคืนก่อนนอนหรือพกติดตัวไว้ตลอดเวลา
3)คนอย่างทรัมป์นั้นคงไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญจนจบ หรือซาบซึ้งดื่มด่ำกับคำประกาศอิสรภาพและเคารพในสิทธิพื้นฐานความเท่าเทียมกันของมนุษย์ จากพฤติกรรมการบูลลี่ (bully) ผู้คนที่เขาทำอยู่เป็นเนืองนิจ โดยเฉพาะกับคนผิวสี สตรี แม้กระทั่งผู้พิการ
ทรัมป์เป็นคนที่ชอบพูดจาโกหก แต่กลับตั้งชื่อ แพลตฟอร์มของตนเองว่า Truth Social สำหรับขายแพ็กเกจพระคัมภีร์ของเขา เคยมีการวิเคราะห์กันแบบทีเล่นทีจริงในหมู่นักข่าวประจำทำเนียบขาวว่า...การที่ทรัมป์โกหกได้เก่งขนาดนี้ก็เพราะเขาโกหกมาโดยตลอด เป็นเวลาต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งตัวของเขาเองก็เผลอไปเชื่อในคำโกหกของตนเองเข้าไปด้วย ดังนั้นจึงยิ่งทำให้ทรัมป์พูดจาโกหกหน้าตายได้ดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ......
5)ศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องศรัทธาที่มาก่อนเหตุผล เป็นประสบการณ์ชีวิตและวิถีชีวิตในขณะที่วิถีชีวิตทรัมป์นั้นสวนทางกับวิถีคริสเตียน
ที่ดี ไม่ว่าจะเป็น..ผ่านการแต่งงานมา 3 ครั้ง...ถูกสุภาพสตรีมากกว่า 20 คนกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศ และถูกตัดสินความผิดไปแล้วอย่างน้อย 3 กรณี และยังมีคดีประเภทนี้รออยู่ในศาลอีกไม่ต่ำกว่า 30 คดี ทั้งนี้ยังไม่นับรวมคดีแพ่งที่โดนฟ้องเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่ฉ้อฉลไม่โปร่งใส ตบแต่งบัญชี เลี่ยงภาษี อีกหลายคดีในศาล
และที่ตลกร้ายก็คือ กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนมากเป็นคริสเตียนกลุ่มหนึ่งที่เคร่งครัดมากคือ นิกายอีวานเจลิคัล (Evangelical Christian) ซึ่งให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์ไบเบิลมาก ถือเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ที่กำหนดความเชื่อความศรัทธาและการดำเนินชีวิต แต่พวกนี้กลับปิดหูปิดตาตัวเอง ไม่เคยหรือต้องการรับรู้วิถีชีวิตของทรัมป์ว่าตรงข้ามกับแนวทางการดำเนินชีวิตของพวกอีวานเจลิคัลมากขนาดไหน
ด้วยเหตุนี้ทรัมป์จึงปล่อยโมเดลธุรกิจนี้ออกมา ทำตัวเป็นเซลส์แมนขายพระคัมภีร์ เพื่อเรียกคะแนนเสียงทางการเมืองจากคนกลุ่มนี้
ครับ ศาสนากับการเมืองนั้นแยกออกจากกันยากจะไม่ว่าจะเป็นสังคมแบบไหนหรือระบบการเมืองรูปแบบใด โดยเฉพาะสังคมไทยที่ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการเมืองมีมาอย่างยาวนานและลึกซึ้ง เช่นในกรณีของการร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านๆ มาของประเทศไทย
ทุกครั้งที่มีการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ มักจะมีการเรียกร้องให้มีการบัญญัติ “พุทธศาสนา” เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย......
อย่างไรก็ตาม ในแง่มุมหนึ่ง....มองได้ว่า...กฎหมายต่างๆ ไม่ว่าจะบัญญัติไว้ในรูปแบบใด ตั้งแต่รัฐธรรมนูญที่ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุด ตลอดจนพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ล้วนมีศักดิ์ที่ต่ำกว่าพระพุทธศาสนาและพระธรรมวินัยทั้งสิ้น
ศาสนาพุทธและพระธรรมวินัยนั้นอยู่เหนือรัฐธรรมนูญแม้จะเป็นกฎหมายสูงสุดก็ตาม
เพราะพระธรรมวินัยคือธรรมที่ตถาคตได้ประกาศแล้วและเป็นอกาลิโก
ส่วนรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ได้ยกร่างกันขึ้นมาได้บัญญัติและตราขึ้นจะโดยกรรมาธิการสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสภานิติบัญญัติอะไรก็แล้วแต่ที่จะเรียกชื่อก็ประกอบด้วยบุคคลที่ยังมีกิเลสหนาหรือผู้ที่มิได้เป็นพระอริยบุคคลแต่อย่างใด
ดังนั้น...เราจะเอาสิ่งที่ต่ำกว่าพระธรรมวินัยคือรัฐธรรมนูญมากำหนด บัญญัติรับรองให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจะถูกต้องหรือ?
ถ้าจะบัญญัติให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย ก็เท่ากับเป็นโดยรัฐธรรมนูญบัญญัติและบังคับให้เป็นโดยรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ในเทศกาลที่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรถูกยกเลิกไปโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร หรือโดยคณะปฎิรูป ก็เท่ากับในตอนนี้ ศาสนาพุทธไม่เป็นศาสนาประจำชาติตามที่ไม่มีรัฐธรรมนูญไปแล้วหรือ
ทั้งๆ ที่ตามความเป็นจริงแล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติสยามหรือชาติไทยมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก่อนที่ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2475
และอีกไม่นานประเทศไทยคงจะมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันขึ้นมาอีก ก็คงต้องรอดูว่า...จะมีการเรียกร้องให้มีการบัญญัติ “พุทธศาสนา” เป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ กันอีกครั้งหรือไม่......
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี