วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
แนวคิดการก่อหนี้สาธารณะในประเทศไทยเริ่มปรากฏขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สถานะการคลังของประเทศอยู่ในภาวะไม่เดือดร้อนเมื่อเก็บภาษีมาได้เท่าใด ก็จ่ายออกไปจากวงเงินนั้น และเมื่อต้องการพัฒนาประเทศก็นำเงินที่เหลือในปีก่อนออกมาใช้จ่ายเพื่อพัฒนาประเทศ
กล่าวได้ว่า การคลังสมัยนั้นดำเนินนโยบายงบประมาณแบบเกินดุลและแบบสมดุลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะรัฐมีรายได้มากกว่ารายจ่ายหรือมีรายได้เท่ากับรายจ่าย
มาโดยตลอด ไม่มีการใช้จ่ายเกินตัว รัฐบาลอาจมีเงินเหลือจ่ายเพื่อนำมาทำนุบำรุงบ้านเมืองบ้าง แต่เนื่องจากมีจำนวนจำกัดจึงต้องค่อยๆ ดำเนินการไปทีละเล็กทีละน้อย แนวทางการพัฒนาประเทศยังไม่ปรากฏว่ามีการนำนโยบายก่อหนี้สาธารณะมาใช้เป็นเครื่องมือทางการคลังแต่ประการใด
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๓๙ รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงแต่งตั้งนายมิตเชล อินเนส (Michell Innis) นายชาร์ลสริเวต-คาร์แนค (Charles Rivett-Carnac) และนายวิลเลียม วิลเลียมสัน (William Williamson) เป็นที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อวางรากฐานการคลังประเทศโดยยึดแบบอย่างของอังกฤษ
นับตั้งแต่ นายอินเนสพยายามแก้ไขสนธิสัญญาพิกัดภาษีขาเข้าและขาออกที่ทำเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ และวางหลักเกณฑ์เรื่องงบประมาณแผ่นดินตามแบบยุโรป
นายคาร์แนควางระบบภาษีอากรของไทยโดยยึดแบบอย่างของอินเดียและแนะนำให้รัฐบาลนำธนบัตรมาใช้ในระบบเงินตราไทย และนายวิลเลียมสันจัดระบบกระจายเงิน
รายจ่ายให้แก่สาธารณประโยชน์อันมีผลต่อการปฏิรูปประเทศในด้านอื่นๆ
นอกจากนี้ที่ปรึกษาทั้งสามยังได้ทำการศึกษาวิเคราะห์การคลังในประเทศไทยแล้วจัดทำบันทึกรายงานเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ความว่า....
“ลักษณะการคลังของประเทศไทยในเวลานั้นนับได้ว่าดี เพราะการจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชนไม่เดือดร้อนรุนแรง ได้เงินมาเท่าใดก็ใช้จ่ายในวงเงินนั้น เมื่อมีเงินเหลือจ่ายจึงใช้ทำนุบำรุงบ้านเมืองแต่วิธีการดังกล่าวจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองได้รวดเร็วเหมือนกับประเทศอื่นไม่ได้ เช่น การสร้างทางรถไฟ ถ้าต้องใช้เงินเหลือจ่ายมาสร้างต่อออกไปทีละเล็กทีละน้อยดังเช่นที่กระทำอยู่ ก็จะสร้างไม่ได้รวดเร็วตามความต้องการ สมควรต้องใช้วิธีการกู้เงินตามประเทศอื่นมาเป็นทุนสร้างทางรถไฟและสิ่งอื่นๆ ซึ่งจะได้ดอกผลและเงินต้นโดยไม่ขาดทุน”
และจึงขอให้รัฐบาลพิจารณาว่าจะใช้วิธีการไม่มีหนี้เพื่อรักษาชื่อเสียงเมืองไทย หรือจะยอมเป็นประเทศลูกหนี้ก่อหนี้หรือกู้เงินมาทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองดังเช่นประเทศอื่น รัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นด้วยกับกรณีที่จะมีการกู้เงินมาเพื่อดำเนินการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าเป็นกิจกรรมใดที่ไม่เกิดดอกผล เช่น ซื้อเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์ ก็มิให้กู้เงินมาใช้ จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติพิจารณาดำเนินการกู้เงินเพื่อนำไปใช้สร้างทางรถไฟ
การกู้เงินได้เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในปลายปี พ.ศ. ๒๔๔๕ โดย พระยาสุริยานุวัตร อัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ได้หาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการที่รัฐบาลไทย
จะกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในโครงการสร้างทางรถไฟจากลพบุรีไปอุตรดิตถ์
ต่อมา รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้พระยาสุริยานุวัตร และ นายคาร์แนค ผู้เป็นตัวแทนการคลังของรัฐบาลไทยในกรุงลอนดอนร่วมกันเจรจากู้เงินจากตลาดเงินกรุงลอนดอน ๕๐๐,๐๐๐ ปอนด์ และตลาดเงินกรุงปารีส ๕๐๐,๐๐๐ ปอนด์ โดยมีธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้จากอังกฤษ และธนาคารอินโดจีนจากฝรั่งเศส เป็นผู้จัดจำหน่าย
การที่รัฐบาลไทยใช้สองธนาคารนี้เป็นผู้จัดการ เพราะธนาคารทั้งสองมีสาขาอยู่ในประเทศไทยและการกู้เงินนั้นมีภารกิจที่ต้องกระทำหลายอย่าง เช่น การออกพันธบัตร การจ่ายดอกเบี้ย เป็นต้น ดังนั้น การจ้างธนาคารดำเนินการแทนจึงเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ประกอบกับประเทศไทยยังไม่เคยดำเนินการกู้เงินเลย จึงไม่มีผู้ใดทราบฐานะการคลังของประเทศว่าเป็นเช่นไร ดังนั้นการให้ธนาคารที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ดำเนินงานย่อมเป็นที่ไว้วางใจของผู้ให้กู้
นอกจากนี้ ธนาคารทั้งสองยังประกันเงินกู้ให้แก่ประเทศไทยด้วย กล่าวคือ ถ้ากู้เงินไม่ได้เต็มตามจำนวนที่ทำสัญญา ธนาคารทั้งสองก็จะนำเงินของธนาคารออกให้กู้เองจนครบตามจำนวน จึงทำให้เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลไทยจะได้เงินกู้เต็มตามจำนวนที่ขอกู้ ซึ่งการกู้เงินดังกล่าวนี้เป็นการกู้เงินโดยไม่มีหลักประกัน หากแต่อาศัยความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเท่านั้น
หลังจากที่ได้ทำสัญญากันแล้ว ธนาคารทั้งสองก็ออกหนังสือชี้ชวน โดยแถลงให้ทราบว่าประเทศไทยต้องการกู้เงินเพื่อใช้ในการสร้างรถไฟและกิจการอื่นๆ โดยออกเป็นพันธบัตรกู้เงิน วงเงิน ๑ ล้านปอนด์ ระยะเวลา ๔๐ ปี อัตราดอกเบี้ย ๔.๕ ต่อปี จ่ายปีละสองครั้ง คือวันที่ ๑ กันยายน และ ๑ มีนาคม พร้อมทั้งแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับรายได้ของรัฐบาลในอดีตย้อนหลังตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๖ - ๒๔๔๖
ภายหลังการออกหนังสือชี้ชวน ปรากฏว่ามีสถาบันการเงินและรัฐบาลหลายประเทศยื่นคำเสนอให้กู้และบางรายเสนอให้กู้เป็นจำนวนแปดเท่าของจำนวนที่ขอกู้ ซึ่งสะท้อนได้ถึงความเชื่อถือในสถานะการคลังและความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ของประเทศไทย
การกู้เงินต่างประเทศในครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการคลังเป็นครั้งแรก จากที่เคยใช้จ่ายเฉพาะรายได้ที่จัดหามาได้ มาเป็นการกู้เงิน ก่อนหน้านี้ประเทศไทยไม่เคยกู้เงินเลยไม่ว่าจะเป็นการกู้เงินจากแหล่งเงินกู้ภายในหรือภายนอกประเทศ และนับจากการกู้เงินครั้งนี้รัฐบาลไทยก็ได้ดำเนินนโยบายการก่อหนี้สาธารณะเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
โดยมีทั้งการกู้เงินจากแหล่งกู้ภายในและต่างประเทศเพื่อนำมาใช้จ่ายการลงทุน พัฒนาเศรษฐกิจด้านต่างๆ ตลอดจนการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยเฉพาะในช่วงการเร่งรัดพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องมีการใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก เฉพาะแต่เพียงรายได้ในการจัดเก็บภาษีอากรซึ่งเป็นรายได้หลักเพียงอย่างเดียวไม่อาจสนองตอบความต้องการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลได้ ดังนั้นการกู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายตามความจำเป็นเร่งด่วน เช่น กรณีการระบาดของโควิด หรือเพื่อการลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศจึงมีความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์การก่อหนี้สาธารณะของประเทศไทย จากอดีตถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีกรณีของการกู้เพื่อเอามาแจก ด้วยการบิดเบือนการใช้กฎหมายอย่างเลวร้ายมาก่อน...
ดร.ธิติ สุวรรณทัต

'ธรรมนัส'บินด่วนหาดใหญ่! หลังเจอวิกฤตน้ำท่วม ปชช.เดือดร้อนหนัก ติดค้าง ไร้อาหารและไฟฟ้า
ยิปซีพยากรณ์ดวงรายวันประจำวันเสาร์ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
'สมเกียรติ'ประธานTDRI โต้ลือนั่งรมต.พรรคส้ม ยันยึดความเป็นกลางทางการเมือง
'ส.ส.บีลา' ตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือน้ำท่วม เปิดสายด่วน 24 ชม. ดูแล ปชช. นราธิวาส
'พัฒนา' ข้องใจ 'รมว.มท.' ไม่เชื่อการกระจายอำนาจ ให้กรมส่งเสริมฯ แทรกแซงถึงการของบประมาณ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี