ในปี 2559 The Oxford Dictionary ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้เลือกคำว่า “post-truth” เป็น Word of the Year ปัจจุบันคำว่า post-truth ได้ถูกนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น เพื่อบ่งบอกถึงลักษณะหรือสภาวการณ์ของโลกยุคปัจจุบันอันเนื่องมาจากปรากฏการณ์ข่าวปลอม (Fake News) วีดีโอหรือคลิปปลอม (Deepfakes) ในเรื่องราวต่างๆ นานา ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในโลกออนไลน์ ผ่านช่องทางการสื่อสารแบบโซเชียลมีเดียในทุกรูปแบบ ทำให้โลกยุคนี้ถูกขนานนามว่าเป็น โลกยุคหลังความจริงและปีต่อมาคำว่า “Fake News” หรือ “ข่าวปลอม”ก็ถูกเลือกให้เป็นคำแห่งปี 2560 โดย The Collins Dictionary
ล่าสุด..อีกหนึ่งเฟค (Fake) หรือเฟคตัวใหม่ที่เริ่มถูกใช้กันในโลกภาษาอังกฤษก็คือคำว่า “Fake Law” ซึ่งหมายถึงการที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) สามารถสร้างคดีความ ข้อพิพาทคำวินิจฉัยไปจนถึงคำพิพากษาของศาลได้ด้วยตัวของมันเองราวกับว่าคดีเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ แม้กระทั่งนักกฎหมายหรือทนายความที่ป้อนคำสั่งให้ AIก็ไม่เฉลียวใจเลยว่าคดีเหล่านี้มันไม่เคยเกิดขึ้นหรือมีอยู่จริง
ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดสำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ AI อย่างเจ้า ChatGPT ของบริษัท OpenAI เจ้าBard หรือ Gemini ที่ถูกพัฒนาโดย Google
แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ ผู้คนในแวดวงกฎหมายโดยเฉพาะทนายความได้นำเอา Fake Law ที่ถูกนฤมิตด้วย AI ไปใช้เป็นหลักฐาน กรณีอ้างอิงและบรรทัดฐานทางกฎหมายในการต่อสู้ทางคดีในศาล เช่นในกรณีคดีระหว่างนาย Roberto Mata กับ สายการบิน Avianca....
คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อ นาย Mata ฟ้องสายการบิน Avianca ด้วยข้อหาทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าเพราะถูกรถเข็นอาหารบนเครื่องชน ซึ่งฝ่ายทนายของสายบินก็สู้กลับด้วยข้อกฎหมายที่ว่าคดีนี้หมดอายุความแล้ว อันทำให้ทนายของนาย Mata ไปให้เจ้า ChatGPT ช่วยค้นหาข้อมูลตัวอย่างคดีลักษณะเดียวกันแบบนี้ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งเจ้า ChatGPT ก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายทนายของนาย Mata ผิดหวัง
ด้วยความสามารถหรือด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน เมื่อได้รับคำสั่งดังกล่าว เจ้า ChatGPT ก็สร้างการตอบสนองด้วยการประมวลผลหรือการคาดเดาอย่างสมเหตุสมผลว่าแต่ละส่วนของข้อความที่มันจะนฤมิตออกมานั้น ควรเป็นไปตามลำดับขั้นตอนอย่างไร ด้วยการใช้ตัวอย่างข้อความหลายพันล้านตัวอย่างที่อยู่ในโลกของอินเตอร์เนต
และเพียงภายในไม่กี่นาทีภายหลังจากที่นักกฎหมายเอไอ หรือ เจ้า ChatGPTLawyer ได้สังเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเสร็จ มันก็เนรมิตตัวอย่างคดีลักษณะเดียวกันพร้อมกับคำพิพากษาที่ศาลวางบรรทัดฐานไว้แล้วได้อย่างโน้มน้าวใจจนทนายของนาย Mata นำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในศาล
เช่น คดีระหว่างนาย Matinez กับสายการบินเดลต้า, คดีระหว่าง นายVarghese กับสายการบินไชน่าเซาท์เทิร์น และคดีระหว่างนาย Zicherman กับสายการบินเกาหลี เป็นต้น พร้อมกับระบุแหล่งที่มา อ้างอิง เชิงอรรถ บรรณานุกรมซึ่งมันก็ระบุได้หมดไม่ว่าจะเป็นวารสารหรือฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ด้านกฎหมาย เมื่อทนายของนาย Mata ป้อนคำสั่งถามย้ำถึงสองสามครั้งกับนักกฎหมายเอไอว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงๆ
ใช่หรือไม่
นั้นคือ Fake Law ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทคโนโลยีหรือนักกฎหมายเอไอ
ปัจจุบัน Fake Law ในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั้งในสหรัฐ อังกฤษและแคนาดา โดยล่าสุดปลายปีที่แล้ว นายไมเคิล โคเฮน อดีตเนติบริกรของทรัมป์ ที่กำลังต้องโทษอยู่จากงานเนติบริการที่ผิดกฎหมายหลายอย่างที่เขาทำให้ทรัมป์ ก็ใช้เจ้า Bard นักกฎหมายเอไอ จากสำนัก Google มาสร้าง Fake Law หรือ ข้อมูลหลักฐานอ้างอิงทางกฎหมายเพื่อให้ทนายของตัวเองเอาไปใช้เป็นข้อมูลต่อสู้ในศาล แต่สุดท้ายก็โดนผู้พิพากษาจับได้ว่ามันเป็น Fake Law
นอกจากความหมายข้างต้น คำว่า “Fake Law” ยังถูกใช้ในอีกความหมายหนึ่ง นั้นคือการบิดเบือนคดีและบทลงโทษทางกฎหมายตัวอย่างที่ง่าย ๆ และเห็นได้ชัดสำหรับ Fake Law ในความหมายที่สองนี้ก็เช่นในกรณีคดีของนายบอส อยู่วิทยา หรือนักโทษทักษิณและถ้ามองย้อนกลับไป Fake Law ในความหมายนี้เกิดขึ้นในสังคมไทยมาตั้งแต่สมัย 2475 แล้ว ถ้านับเฉพาะการบิดเบือนคดีใหญ่ๆ ก็สามารถรวบรวมเอามาเขียนเป็นหนังสือได้เป็นเล่ม
Fake Law ในความหมายนี้มักจะถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์หรือเนติบริกรเป็นส่วนใหญ่มากกว่า AI เพราะไม่ว่านักกฎหมายเอไอจะถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีที่เลวทรามต่ำช้าเพียงใด มันก็จะต้องคิดหรือประมวลผลบนพื้นฐานในเชิงตรรกเหตุผลเสมอมีอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลที่ถูกนำมาใช้ในการประมวลผล มันไม่สามารถแถแบบข้างๆ คูๆ เพื่อบิดเบือนคดีความ หรือตะแบงเอาเอาต์พุต (output) ออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมายให้กับเจ้านายมันได้เหมือนกับคนที่เป็นเนติบริกร
พูดถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวของเนติบริกรสามคนที่เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว...นั่งเครื่องบินลำเดียวกันเพื่อไปเรียนต่อกฎหมายที่สหรัฐอเมริกา คนหนึ่งต้องกลับมาใช้ทุนเพื่อเป็นอาจารย์ อีกคนเป็นอัยการและคนสุดท้ายเป็นผู้พิพากษา ภายหลังจากเรียนภาษาปรับพื้นฐานอยู่ 3 เดือน ทั้งสามคนก็แยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่แต่ละคนได้สมัครไว้ไม่ว่าจะเป็นเบิร์กลีย์ โคลัมเบียและฮาร์วาร์ด ตามลำดับหลังจากเรียนจบทั้งสามคนก็กลับมาทำงานใช้ทุนให้กับองค์กรต้นสังกัดจนเติบโตถึงตำแหน่งสูงสุดในสายงานของแต่ละคน
และนอกเหนือจากการเป็นศาสตราจารย์ อัยการสูงสุดและผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาทั้งสามคนนี้ยังมีอาชีพเสริมเป็นเนติบริกรให้กับคณะรัฐประหาร นักโทษและเผด็จการทหารด้วยเนติบริการที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ผู้มีอำนาจหรือเจ้านายต้องการเท่านั้น มิใยว่าจะขัดต่อคุณธรรมหรือหลักการใดๆ หรือสร้างปัญหาให้กับสังคมหรือคนส่วนใหญ่เพียงใดก็ตาม
โดยค่าจ้างที่เนติบริกรสามคนนี้ได้รับมักปรากฏออกมาในรูปแบบของผลตอบแทนของการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานวุฒิสภา ประธานรัฐสภาไปจนถึงตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี