ปรากฏการณ์ นายกฯ-รัฐมนตรี-ปลัด-อธิบดี-ผู้ว่า-รอง ผบ.ตร. เรื่อยไปจนถึง เจ้าคณะ-พระสงฆ์ ไปต้อนรับนักโทษตรวจราชการที่เชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ก่อน ในแง่มุมหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่า....สังคมไทยในปัจจุบันเดินทางมาถึงจุดที่มีนักโทษเป็นบุคคลอ้างอิง
เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว ก็เป็นธรรมดาว่า เมื่อเราเคารพนับถือบุคคลใด เมื่อเรายอมรับพิจารณาความดี เห็นว่าท่านผู้ใดเป็นบุคคลสำคัญ ควรค่าแก่การอ้างอิงเพื่อเอาเป็นแบบอย่าง เราก็จะกล่าวยกย่องสรรเสริญ ดังที่ ผู้นำประเทศสดุดีเกียรติคุณนักโทษว่า..เป็นจิตวิญญาณของพรรค....
ในอดีต สังคมไทยมีบุคคลผู้ที่เป็นจุดอ้างอิงในเกณฑ์มาตรฐานแห่งพฤติกรรมของมนุษย์จำนวนมากซึ่งมีตั้งแต่...คนธรรมดาหาเช้ากินค่ำที่ไม่เคยขี้โกงใคร พ่อค้าแม่ขายที่ไม่เคยเอาเปรียบลูกค้า พระสงฆ์-องค์เจ้าผู้ไม่เคยมีมลทินมัวหมอง ข้าราชการซื่อสัตย์สุจริตที่ไม่เคยคดโกง เรื่อยไปจนถึงบุคคลสาธารณะที่ควรค่าต่อการอ้างอิงเพื่อเอาเป็นแบบอย่าง เช่น..
สามัญชนผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ท่านอาจารย์ป๋วยอึ๊งภากรณ์ ปูชนียบุคคลของธนาคารแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คนดีศรีคลังเช่น ท่านบุญมา วงศ์สวรรค์ อดีตปลัดกระทรวงการคลังและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือ “ขุนคลังแก้ว” ของท่านอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี
รัฐบุรุษอาวุโสแบบ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ บุคคลผู้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมหาศาล
ใครที่เคยทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับสามท่านนี้ ก็จะมีจุดวัดของท่านทั้งสามนี้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน
เช่น ถามตัวเองว่า..ถ้าทำแบบนี้แล้ว...อาจารย์ปรีดีจะทำไหม...ท่านบุญมาจะว่ายังไง....หรืออาจารย์ป๋วยจะรับได้ไหม....
แต่ถ้าไม่เคยสัมผัสโดยตรง ก็จะรับรู้ในกิตติศัพท์เสียงยกย่องในฐานะที่เป็นบุคคลอ้างอิงที่เป็นแบบอย่าง
นักศึกษายุคสายลมแสงแดด (ยุคช่วงก่อนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖) หลายคนเปลี่ยนใจที่จะเรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์มาเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์แทน ก็เพราะศรัทธาในตัวคณบดีที่ชื่อ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ บางคนก็ถูกพ่อแม่ขอร้อง เพราะอย่างให้เป็นบุตร-ธิดาได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ป๋วย
ในขณะที่สังคมตะวันตก อาจจะไม่ได้เน้นยึดถือตัวบุคคลเพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิงมากเท่ากับหลักการหรือสภาพเงื่อนไขทางสังคมที่หล่อหลอมให้พวกเขาเป็นคนแบบไหนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น....
เคยถามเพื่อนอเมริกันว่า...ทุกวันนี้ สังคมอเมริกัน มีใครเป็นบุคคลอ้างอิงที่ใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อการเอาเป็นแบบอย่าง....
หลังจากที่เขานิ่งคิดอยู่นาน คำตอบที่ได้ คือ ....ไม่มี..โดยเฉพาะนักการเมือง ยิ่งไม่มีใครให้เป็นแบบอย่างหรือฝากความหวังไว้ได้เลย. แต่ก็ยังพอมีความหวังกับคน Generation 9/11…..
คน Generation 9/11 คือเด็กที่เติบโตขึ้นมาช่วงที่อเมริกาถูกกลุ่มก่อการร้ายโจมตีตึก World Trade Center และกระทรวงกลาโหม เช่นคนอย่าง ลาซาโร ดูบร็อคคิว กับ มารายห์ วิลเลี่ยม ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่พึ่งอยู่ประถมสอง โรงเรียนเอ็มม่า บุคเกอร์ เมืองซาราโซต้า รัฐฟลอริดา
เช้าวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ ขณะที่ลาซาโรกำลังอ่านนิทานเรื่อง “The Pet Goat” (ลูกแพะที่น่ารัก)
ให้ประธานาธิบดีบุชฟังอยู่ในห้องเรียนของพวกเขา คาร์ล โรฟที่ปรึกษาอาวุโสด้านการเมืองของบุชส่งข่าวมาบอกว่า“มีเครื่องบินพุ่งเข้าชนตึก World Trade Centerฝั่งเหนือ” วูบแรก บุชคิดในใจว่าคงเป็นอุบัติเหตุ ไม่ก็เป็นความผิดพลาดของนักบิน หรือนักบินอาจจะเกิดหัวใจวายขึ้นมากะทันหันขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ บุชจึงยังคงนั่งฟังลาซาโรอ่าน ลูกแพะที่น่ารัก ต่อไป
สิบห้านาทีต่อมา แอนดริว คาร์ด หัวหน้าทีมงานประจำทำเนียบขาว เดินเข้ามาขัดจังหวะกลางชั้นเรียน แล้วไปกระซิบที่ข้างหูขวาบุชว่า “มีเครื่องบินลำอีกลำพุ่งชนอาคาร World Trade Center ฝั่งใต้ อเมริกากำลังถูกโจมตี” ....บุชยังคงนั่งฟังเด็กอ่าน ลูกแพะที่น่ารัก ต่อไป พร้อมๆ กับพยายามรวบรวมสติ เก็บอาการทุกอย่างเพื่อไม่ให้สื่อมวลชนสังเกตเห็น
แต่ ลาซาโร ดูบร็อคคิว ผู้ซึ่งกำลังนั่งอ่านนิทานเรื่องลูกแพะที่น่ารัก ให้บุชฟัง จำได้เพียงแค่ว่า เห็นหน้าประธานาธิบดีบุช ดูเหมือนกำลังตกตะลึงอะไรบางอย่าง ซึ่งลาซาโรคิดว่าตัวเขาคงต้องอ่านอะไรที่ผิดให้บุชฟังแน่ๆ เช่นเดียวกับ มารายห์ วิลเลี่ยม เพื่อนร่วมชั้นอีกคนก็จำได้ว่า เห็นหน้าบุชกลายเป็นสีแดง ขณะที่แอนดริว คาร์ด กำลังกระซิบอะไรอยู่ที่ข้างหูของบุช
เวลานั้นเสียงโทรศัพท์ เครื่องมือสื่อสารของหลายๆคนในห้อง เริ่มส่งเสียงกันระงม ประมาณ 5 นาทีต่อมา บุชจึงออกมาจากห้องเรียน เพื่อรับฟังสรุปสถานการณ์และเตรียมตัวออกแถลงการณ์กับเหตุการณ์วินาศกรรมที่กำลังเกิดขึ้น ณ โรงเรียนเอ็มม่า บุ๊คเกอร์ นั้นเอง....และนั้นก็เป็นภาพจำติดตาลาซาโรกับมารายห์มาตลอดช่วงระยะเวลาที่ทั้งสองเติบโตขึ้น
ปัจจุบัน มารายห์และลาซาโรอายุ 30 ปี กำลังอยู่ในช่วงวัยทำงาน คนหนึ่งทำงานด้านการกุศลช่วยเหลือผู้สูงอายุ คนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อีกคนทำงานเป็นพนักงานดับเพลิง สังคมอเมริกันจะเรียกคนรุ่นนี้ว่า “Generation 9/11” เด็กอเมริกันที่โตมาใน Generation 9/11 หลายคนมุ่งมั่นที่จะเข้าสถาบันหรือโรงเรียนทหาร ไม่ก็จะไปเป็นพวกพนักงานดับเพลิง ตำรวจ หรืออาชีพที่บริการสาธารณะ งานที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้อื่น เพราะคนที่ประกอบอาชีพลักษณะเหล่านี้คือแบบอย่างที่น่ายกย่องสำหรับคนรุ่น Generation 9/11 อย่างพวกเขา
พูดถึงตรงนี้ ทำให้ย้อนกลับมานึกถึงงานวิจัยชิ้นหนึ่งของศาสตราจารย์สมพงษ์ จิตระดับ สุอังตะวาทิน ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของเยาวชนไทยมายาวนานต่อเนื่องหลายสิบปี เรื่อง เด็กไทยพันธุ์ใหม่ ยุคปี 2000 งานชิ้นนี้ให้ภาพคุณลักษณะของเด็กไทยยุคปี 2000 นี้ไว้ 12 ประการคือ....
1) สติปัญญาต่ำลง 2) อ่อนแอและเสพติดสิ่งต่างๆ3) อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง 4) หมกมุ่นทางเพศ 5) มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรม 6) ติดหลงในวัตถุ 7) เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ 8) ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี 9) ไม่มีความสุขกับการเรียนรู้10) ชอบลอกเลียนและหาความสำเร็จโดยไม่เลือกวิธีการ 11) ชอบเล่นการพนัน และ 12) ทำงานหนักไม่เป็น....
แน่นอน..เยาวชนไทยไม่ได้เป็นแบบนี้หมดทุกคนแน่ๆและก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าข่าย 12 ข้อนี้เลย....แต่จากปี ๒๕๔๔ ถึงปัจจุบัน ผมไม่แน่ใจว่า คุณสมบัติ 12 ข้อนี้มันจะค่อยๆ ลดน้อยลงหรือยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในตัวเด็กไทยพันธุ์ใหม่ปี 2000 ที่เป็นคนรุ่นเดียวกับ Generation 9/11 ....เพราะในช่วงพัฒนาการสำคัญของชีวิต ตอนอายุประมาณ 6-7 ขวบ ช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการเห็นแบบอย่างที่ดี น่ายกย่อง แต่กลับกลายเป็นว่า...พวกเขาต้องเติบโตมาพร้อมกับภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศที่กำลังจะเป็นว่าที่นักโทษในอนาคต เป็นบุคคลอ้างอิง
ครับ...ในหนังสือเรื่อง the House of the Dead ฟีโอดอร์ดอฟโตเยสกี้ นักเขียนรางวัลโนเบล ชาวรัสเซีย เขียนให้ข้อคิดตอนหนึ่งไว้ว่า....ระดับความศิวิไลซ์ของมนุษยชาติ วัดได้จากปริมาณนักโทษในสังคมนั้น...ซึ่งนั้นยังคงพอเข้าใจได้ ในเรื่องจำนวนปริมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของนักโทษ.....
แต่การที่ นายกฯ-รัฐมนตรี-ปลัด-อธิบดี-ผู้ว่าฯ-รอง ผบ.ตร. เรื่อยไปถึงเจ้าคณะ-พระสงฆ์ ให้ความสำคัญกับนักโทษเพียงคนเดียว มันสะท้อนให้เห็นว่าสังคมนั้นกำลังเดินทางไปถึงจุดไหน
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี