บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ สหรัฐ มาตรา 14 ข้อ 3 (Section 3 of the 14th Amendment) บัญญัติว่า
“บุคคลใดที่ได้สาบานตนมาแล้วในฐานะที่เป็นสมาชิกของรัฐสภาหรือเจ้าหน้าที่แห่งสหรัฐ หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติมลรัฐ หรือเจ้าหน้าที่บริหารหรือตุลาการมลรัฐ ว่าจะสนับสนุนรัฐธรรมนูญสหรัฐ ได้ก่อจลาจลหรือกบฏต่อสหรัฐ หรือให้ความช่วยเหลือหรือความสะดวกสบายให้แก่ศัตรูของสหรัฐ จะเป็นวุฒิสมาชิก หรือผู้แทนราษฎรในรัฐสภา หรือผู้ที่ทำหน้าที่เลือกตั้งประธานาธิบดี หรือรองประธานาธิบดี หรือดำรงตำแหน่งหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหรือทหารของสหรัฐหรือมลรัฐไม่ได้ แต่รัฐสภาอาจเพิกถอนข้อห้ามนี้ได้โดยคะแนนเสียงสองในสามของแต่ละสภา”
มาตรานี้ถูกประกาศใช้ในปี 1868 (๒๔๑๑)ภายหลังเหตุการณ์สงครามกลางเมือง (civil war) ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1861-1865 โดยสาเหตุของการสู้รบมาจากข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับการถือครองทาส ระหว่างฝ่ายชาตินิยมสหภาพ (ฝ่ายเหนือ หรือ Union) ซึ่งให้ปฏิญาณว่าจะภักดีต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐ กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนออกเป็นสมาพันธรัฐ (ฝ่ายใต้ หรือ Confederate) ซึ่งสนับสนุนสิทธิของมลรัฐในการคงไว้ซึ่งการครอบครองทาส
หลังสงครามจบพร้อมกับชัยชนะของฝ่ายเหนือ บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 14 ข้อ 3 นี้จึงถูกเขียนขึ้นมา เพื่อไม่ให้พวกฝ่ายใต้ได้เข้ามามีโอกาสเกี่ยวข้องกับกิจการบริหารบ้านเมือง
โดยก่อนหน้านี้มีความพยายามของหลายมลรัฐ เช่น โคโลราโด เมน มิชิแกนและมินนิโซตา ที่จะใช้ข้อกฎหมายนี้เล่นงานทรัมป์ แต่สุดท้ายศาลสูงสุด สหรัฐ (The Supreme Court) ก็พึ่งมีคำพิพากษาออกมาเมื่อต้นเดือนนี้เองว่า.....แต่ละมลรัฐไม่อาจใช้บทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 14 ข้อ 3 ในการห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งลงสมัครเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี....อย่างไรก็ตามเสียงส่วนใหญ่ในศาลสูงสุดเห็นว่า การบังคับใช้บทบัญญัตินี้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาไม่ใช่ระดับมลรัฐ
อันจะทำให้เรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ เพราะถ้าทรัมป์ถูกตัดสินว่ามีความผิดและต้องโทษจำคุก ถึงแม้จะชนะเลือกตั้งปลายปีนี้ก็ตาม ทรัมป์ก็อาจจะถูกรัฐสภาลงคะแนนโหวตว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 14 ข้อ 3....แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูต่อไปว่าพรรคไหนคุมเสียงข้างมากของทั้งสองสภา...ถ้าเป็นเช่นนี้
....พรรครีพับลิกันเลือกแคนดิเดตคนอื่นมาแทนทรัมป์ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหานี้ตั้งแต่แรก ได้หรือไม่
ภายใต้ระเบียบข้อบังคับพรรคนั้น ไม่มีกลไกอื่นในการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรค นอกจากการเลือกตั้งหยั่งเสียงเบื้องต้น (primary vote) ที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ และทรัมป์ก็มีคะแนนเสียงท่วมท้นจนแคนดิเดตคนอื่นถอนตัวออกไปหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่มีสัญญาณอะไรจากบรรดาแกนนำพรรคที่จะเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่น เพราะรู้ดีว่ากระแสทรัมป์กำลังมาแรงและพวกเขาก็ต้องการที่จะโหนกระแสนี้ตามไปด้วย
....ถ้าถูกตัดสินว่ามีความผิด ทรัมป์สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง ได้หรือไม่
ขึ้นกับกฎหมายของแต่ละมลรัฐ ทรัมป์ลงทะเบียนการใช้สิทธิเลือกตั้งที่รัฐฟลอริดา แต่กฎหมายของรัฐนี้ตัดสิทธิเลือกตั้งนักโทษคดีอาญา แต่จะได้สิทธินี้กลับคืนมาเมื่อรับโทษจนหมดสิ้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ก็มีถิ่นพักอาศัยอยู่ที่รัฐนิวยอร์กด้วย ซึ่งกฎหมายของนิวยอร์กอนุญาตให้ผู้ต้องโทษคดีอาญาที่อยู่ระหว่างการคุมประพฤติหรือได้รับปล่อยตัวโดยมีการคุมประพฤติใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ซึ่งเป็นไปได้ว่าทรัมป์อาจจะเลือกมาใช้สิทธิในรัฐนิวยอร์ก
....จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทรัมป์ได้รับการเลือกตั้ง ระหว่างที่รับโทษอยู่ในคุก
คำถามนี้ยากที่จะตอบ เพราะคณะผู้เขียนรัฐธรรมนูญสหรัฐ (The Framers) เมื่อ 230 กว่าปีที่แล้ว ก็คงไม่คาดคิดว่าอเมริกาจะมาถึงจุดนี้....จุดที่ประชาชนเลือกนักโทษติดคุกเป็นประธานาธิบดี....จึงได้กำหนดคุณสมบัติผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไว้เพียงกว้างๆ ดังที่กล่าวไว้ในตอนที่แล้ว ไม่ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามละเอียดยิบสำหรับบุคคลที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ เช่น มาตรา ๙๘ และ ๑๖๐ ในรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ของไทย
นอกจากนั้น ถ้าชนะการเลือกตั้ง ทรัมป์อาจจะให้ทีมกฎหมายฟ้องคดีกลับในประเด็นที่ว่าการจำคุกทรัมป์นั้นเป็นการกระทำโดยมิชอบ เพราะเป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
ส่วนคดีที่รัฐบาลกลางเป็นโจทก์ฟ้อง คือ คดีเหตุการจลาจลที่อาคารรัฐสภา กับ คดีพยายามครอบครองเอกสารลับของทางราชการ ทรัมป์ก็คงจะแต่งตั้งคนของตัวเองเป็นรัฐมนตรียุติธรรมเพื่อไปจัดการทำเรื่องถอนฟ้อง 2 คดีนี้เพราะตั้งแต่ปี 1973 สมัยรัฐบาลริชาร์ด นิกสัน ตอนนั้นนิกสันมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์โจรกรรมสำนักงานของพรรคเดโมแครต (หรือที่เรียกกันว่า คดีวอเตอร์เกต) และมีแนวโน้มที่จะถูกฟ้องคดีอาญา
กระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้มีนโยบายออกมาว่า....จะไม่มีการฟ้องร้อง ประธานาธิบดีผู้ที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่ง เพราะจะเป็นการขัดขวางประธานาธิบดีไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่....
นอกจากนี้ ตัวทรัมป์เองก็สามารถจะทำเรื่องยกโทษหรือขอลดโทษให้กับตัวเองได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องติดคุก แต่เรื่องการใช้อำนาจพิเศษของประธานาธิบดีเพื่อยกโทษหรือลดโทษให้ตัวเองนั้น อาจจะต้องไปจบลงที่คำตัดสินของศาลสูงสุด หรืออีกทางหนึ่ง โจ ไบเดน ก็อาจจะทำเรื่องอภัยโทษให้ก็ได้ ถ้าทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ถ้าไบเดนยึดหลักการที่ว่า...เสียงของอเมริกันชนส่วนใหญ่ได้เป็นผู้เลือกและตัดสินแล้ว
อย่างไรก็ตาม อีก 2 คดีที่เหลือคือ คดีพยายามล้มล้างผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในรัฐจอร์เจีย กับ คดีปลอมแปลงเอกสารบันทึกทางธุรกิจโดยมีเจตนาฉ้อฉลเพื่อปกปิดอาชญากรรมอื่น ที่รัฐจอร์เจียกับรัฐนิวยอร์กเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ทรัมป์ไม่มีอำนาจเข้าไปก้าวก่ายอำนาจของแต่ละมลรัฐในการที่จะทำเรื่องยกโทษหรือลดโทษให้กับตัวเอง
และถ้าทรัมป์ไม่รอดใน 2 คดีนี้ มีอันต้องติดคุกไป....รัฐธรรมนูญสหรัฐก็ไม่ได้เขียนไว้ว่าห้ามบริหารประเทศจากในเรือนจำ.....และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าคนอย่างทรัมป์นั้นอาจจะบ้าพอที่จะนั่งบริหารประเทศอยู่ในเรือนจำ....ซึ่งตรงนี้คงทำให้ทรัมป์มีความแตกต่างจากทักษิณบ้าง......
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี