นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ หากประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้กับพรรคการเมืองใด เพราะชอบในนโยบาย หรือนิยมตัวบุคคลที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับถูกพรรคคู่แข่งตราหน้าว่าเป็นการลงคะแนนให้กับพวกเผด็จการ มิใช่ฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนตนเอง
ทั้งๆ ที่ ทุกพรรคล้วนเสนอตัวลงแข่งขันกันในการเลือกตั้งครั้งเดียวกัน
พูดง่ายๆ ว่า ต้องเลือกพวกกู จึงจะเป็นประชาธิปไตย
และต่อไปก็คงจะกล่าวอ้างว่า ต้องพวกกูเป็นรัฐบาล จึงจะถือว่าการเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม
ก่อนจะไปตราหน้าผู้อื่นตามคำโฆษณาปลุกเร้าของนักการเมืองบางพรรคหรือป้ายสีพรรคอื่นตามคำยุยงปลุกปั่นของผู้หนึ่งผู้ใด อยากให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้พิจารณาข้อเขียนที่ประมวลทั้งข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่น่าสนใจ โดยอาจารย์ชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดังนี้
“...นักการเมืองที่สังกัดพรรคการเมืองที่เป็นเครือข่ายของนายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหลายได้แบ่งแยกพรรคการเมืองต่างๆ ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
พรรคที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
และพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน ว่าเป็นฝ่ายเผด็จการ
แต่ไม่ได้กล่าวว่า ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
จึงขอนำพฤติกรรมของพรรคที่อ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย มาให้ทบทวนความจำกัน ดังต่อไปนี้
1.ภริยา หน.พรรคซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงินในราคาถูกและอาศัยมติคณะรัฐมนตรีประกาศให้วันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันทำงานตามปกติให้ภริยาไปจดทะเบียนที่ดินเพื่อจะได้เสียค่าธรรมเนียมในราคาถูกกว่าไปจดทะเบียนโอนในเดือนมกราคมปีถัดไป
2.เมื่อถูกฟ้องในคดีเกี่ยวกับที่ดินตามข้อ 1 มีทนายความนำเงินไปให้เจ้าหน้าที่ศาล 2 ล้านบาท แต่ได้รับการปฏิเสธ จนทนายความคนนั้นถูกศาลลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลให้จำคุก 6 เดือน
3.สั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยปล่อยเงินกู้ให้ประเทศเมียนมาในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อใช้เงินกู้ซื้อสินค้าจากบริษัทใน
เครือของตน
4.สั่งให้ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยปล่อยเงินกู้ให้แก่บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด โดยไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์การปล่อยเงินกู้ของธนาคาร ซึ่งผู้บริหารธนาคารถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก
5.แก้สัญญาสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้บริษัทของตนได้เปรียบบริษัทอื่น
6.มีการวิ่งเต้นให้สินบนตุลาการรัฐธรรมนูญ 20 ล้านบาท ให้ช่วยเหลือในคดียุบพรรคไทยรักไทย แต่ได้รับการปฏิเสธ ผู้ไปวิ่งเต้นเป็นนายตำรวจยศพันตำรวจเอกถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี
7.มีเจ้าของพรรคการเมืองเพียงคนเดียวที่มีอำนาจสั่งการทุกอย่าง สส. หรือสมาชิกไม่มีอำนาจอะไรเลย คอยฟังคำสั่งเจ้าของพรรคอย่างเดียว
8.กลุ่มคนที่เป็นบริวารร่วมกันบุกรุกเข้าไปในโรงแรมที่จัดประชุมประเทศกลุ่มอาเซียนกับคู่เจรจา จนต้องล้มเลิกการประชุม
9.กลุ่มคนที่เป็นบริวารร่วมกันบุกรุกเข้าไปในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จนทางโรงพยาบาลต้องขนย้ายผู้ป่วย รวมทั้งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชไปไว้ที่โรงพยาบาลอื่น
10.กลุ่มคนที่เป็นบริวารร่วมกันเผาสถานที่ราชการ ศาลากลางจังหวัด ห้างสรรพสินค้า สาขาของธนาคารพาณิชย์ และอาคารพาณิชย์อื่นๆ
11.ให้น้องสาวที่ไม่มีความรู้อะไรเลย แม้ภาษาไทยยังอ่านไม่ถูก เป็นนายกรัฐมนตรี และสั่งให้ทำโครงการซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่สูงกว่าท้องตลาดแล้วขายให้พรรคพวกบริวารในราคาถูกกว่าราคาที่รับซื้อจากชาวนา จากนั้นนำไปขายให้พ่อค้าข้าวเอากำไรร่ำรวยกระเป๋าตุงกันทั่วหน้า แต่รัฐต้องเสียหายไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาท ปัจจุบันยังเป็นหนี้ ธ.ก.ส. อยู่ 300,000 ล้านบาท กระทรวงการคลังต้องนำงบประมาณแผ่นดินชำระหนี้ปีละ 50,000 ล้านบาท โดยเป็นดอกเบี้ย 30,000 ล้านบาท ใช้เวลา 16 ปี จึงหมดหนี้
12.ดำเนินการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อช่วยให้นายทักษิณเจ้าของพรรคที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและมีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลอีกหลายคดีกับบริวารที่กระทำความผิดในข้อหาก่อการร้าย เผาอาคารของราชการและอื่นๆ พ้นจากความผิดกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ โดยให้มีการพิจารณากันเกือบทั้งคืนและให้ สส.ใช้บัตรลงคะแนนเสียงเสียบบัตรออกเสียงแทนกันได้
….ต้องขออภัยถ้าขาดตกบกพร่องไปบ้าง ท่านใดมีพฤติกรรม อะไรเพิ่มเติมก็ช่วยๆ กัน แม้ว่าคนบางกลุ่มจะไม่สนใจหรือไม่เชื่อหรือเชื่อแต่เขาก็คิดว่าเขาไม่เดือดร้อนอะไรบ้านเมืองสถานที่ราชการถูกเผาก็ไม่ใช่บ้านของเขา ประเทศชาติได้รับความเสียหายต้องใช้หนี้ก็ไม่ใช่เงินของเขา ถ้าพรรคการเมืองกลุ่มนี้มีอำนาจเขาจะได้เงินใช้ ดังนั้น เขาก็เลือกผู้สมัครของพรรคเหล่านี้
แต่ก็อาจจะมีบางคนเชื่อและเปลี่ยนใจบ้าง สัก 5 คน 10 คนก็ยังดีกว่าอยู่กันเฉยๆ
ส่วนพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นฝ่ายเผด็จการ เช่น พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมพลังประชาชาติไทยนั้น สองพรรคนี้เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ยังไม่เคยเป็นรัฐบาล จึงยังไม่เคยกระทำการในสิ่งที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยกระทำ
แม้ว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และปัจจุบันเป็นร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย จะเป็นผู้นำในการชักชวนประชาชนมาชุมนุมเพื่อต่อต้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และมีอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย แต่การชุมนุมดังกล่าวก็เป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ไม่เคยใช้อาวุธทำร้ายเจ้าพนักงาน ไม่เคยบุกเข้าไปในโรงพยาบาล ไม่บุกรุกเข้าไปทำลายการประชุมระหว่างประเทศ ไม่เคยเผาบ้านเผาเมือง เหมือนเช่นการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นบริวารของนายทักษิณ
การที่พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น แม้พลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน เพื่อรักษาประเทศชาติไม่ให้ต้องเกิดสงครามกลางเมือง อันเป็นการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ตาม แต่ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งมา 4 ปีเศษ
พลเอกประยุทธ์ไม่เคยใช้อำนาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ไม่เคยใช้อำนาจในทางไม่ชอบไม่ควร ไม่เคยมีข่าวว่ามีการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพรรคพวกและบริวาร แต่กลับทำให้บ้านเมืองสงบ สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนมากกว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้มากมาย
ถ้าจะมีการสืบทอดอำนาจดังที่มีการกล่าวหากัน ต้องเป็นกรณีที่พลเอกประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเข้ารับตำแหน่งต่อไป โดยไม่มีการเลือกตั้ง
การที่พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมพลังประชาชาติไทย ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ประชาชนพิจารณาว่าจะเลือกผู้สมัครของสองพรรคนี้เพื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ก็เป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินเช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เสนอชื่อผู้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคจึงไม่ใช่เป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการดังที่มีการสร้างวาทกรรมกล่าวหากันแต่อย่างใด”
เมื่อพิจารณาแล้ว ตรองดูแล้ว จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างไร ก็แล้วแต่ดุลพินิจของแต่ละท่าน
สุดท้าย หลังการเลือกตั้ง จะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วยพรรคการเมืองมากกว่า 1 พรรคแน่ๆ
เพราะฉะนั้น แน่นอนว่า 3 ก๊กการเมืองที่ปรากฏอยู่ก่อนเลือกตั้ง จะต้องเหลือ 2 ก๊ก คือ ก๊กรัฐบาล กับก๊กฝ่ายค้าน
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า การเจรจาพูดคุยระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ หลังการเลือกตั้ง ก๊กไหนจะได้ข้อตกลงกันลงตัว โดยไม่ขัดกับจุดยืนของพรรคตนเองอย่างไร
อย่าเพิ่งไปหัวใจวายไปกับลีลาการหาเสียงก่อนวันกาบัตรเลือกตั้งกันเลย
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี