วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ เป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญที่มีประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา คือมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 50 ล้านคน
ในจำนวนนี้เป็นคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 18-25 ปี ซึ่งมีสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งด้วย คนกลุ่มนี้มีจำนวนรวมกันประมาณ 7-8 ล้านคน และด้วยพลานุภาพของโซเชียลมีเดียที่มีบทบาทสูงยิ่งแห่งยุคสมัย จึงทำให้คนกลุ่มนี้สามารถผนึกรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และมีความรู้สึกนึกคิดไปในทิศทางเดียวกัน
ในขณะเดียวกันนั้นประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 50 ล้านคน ก็มิใช่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในยุคเก่าอีกแล้ว แต่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในยุคใหม่ ในคุณภาพใหม่ และในบริบทใหม่ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจจับตา
ประการแรก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 50 ล้านคนนั้น เคยผ่านบทเรียนการเลือกตั้งจากอดีตมาแล้วมากครั้งหลายหน มีบทเรียนที่อุดมสมบูรณ์ว่าการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเห็นแก่อามิสสินจ้าง ในที่สุดก็คือการขายอำนาจอธิปไตยของปวงชนให้กับพ่อค้าการเมือง ซึ่งเมื่อเขาซื้ออำนาจอธิปไตยของปวงชนไปแล้วก็เอาไปเร่ขายต่อ และเมื่อมีการซื้ออำนาจจากการเร่ขายนั้นก่อตั้งขึ้นเป็นอำนาจปกครองแล้ว อำนาจปกครองนั้นก็เป็นอำนาจของผู้ลงทุนที่หวังเอาทั้งการถอนทุนและกำไร ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
อามิสสินจ้างที่ได้รับจำนวนเพียงไม่กี่บาทและการล่อใจด้วยประการต่างๆ นั้นเทียบกันไม่ได้กับความเดือดร้อนเสียหายที่ประชาชนต้องแบกรับ ไม่ต้องมากเอากันแค่ขายสิทธิ์ให้เขาไปออกกฎหมายให้การเก็บหน่อไม้หรือการเก็บเห็ดเป็นความผิดร้ายแรงถึงลงโทษจำคุก 5 ปี ในขณะที่บรรดาเศรษฐีเจ้าสัวทั้งหลายได้สิทธิ์ที่จะเช่าจะใช้ที่ดินของรัฐในราคาต่ำๆ เป็นเวลายาวนาน
ประชาชนเหล่านี้ย่อมสำเหนียกรู้ได้ด้วยตนเองแล้วว่า สาเหตุความลำบากยากจนของประชาชนไทยนั้นเกิดขึ้นจากการลงคะแนนเสียงโดยเห็นแก่อามิสสินจ้างและประโยชน์ส่วนตน จึงเป็นไปได้ที่จะตั้งสติกันใหม่แล้วคว่ำบาตรไม่เลือกคนไม่ดีให้เข้าไปมีอำนาจในบ้านเมือง
ประการที่สอง ประชาชนได้เห็นการเปลี่ยนสีแปรธาตุของนักการเมืองที่ยอมตัวขายตนให้เงินทอง อันเป็นพฤติกรรมสามานย์และเลวร้ายยิ่งกว่าโสเภณี เพราะโสเภณีนั้นจำต้องขายศักดิ์และศรีเพียงเพื่อมีชีวิตรอดเพื่อกินเพื่ออยู่ของตนเองและครอบครัว แต่นักการเมืองโสเภณีนั้นขายอำนาจอธิปไตยของปวงชนเพื่อให้คนซื้อเอาไปขายชาติ ปล้นชาติ และโกงชาติกันต่อไป
ประชาชนได้เห็นการเปลี่ยนสีแปรธาตุ การเปลี่ยนกลุ่มย้ายพรรคกันจ้าละหวั่น ในท่ามกลางเสียงประกาศก้องว่าเพื่อประเทศและประชาชน แต่แท้จริงก็เพื่อเงินเข้ากระเป๋าหัวละ 30-50 ล้านบาท
การเปลี่ยนสีแปรธาตุหรือการโยกย้ายพรรคที่ทำกันอย่างจ้าละหวั่นไม่ยำเกรงประชาชนนั้นไม่ได้ทำให้การเปลี่ยนสีแปรธาตุเป็นคนดีขึ้นมาได้ ดังที่มีการเปรียบเปรยว่า อันวิสัยเหี้ยนั้นไม่ว่าจะอยู่ในน้ำ หรืออยู่ในป่า หรืออยู่ใต้ถุนอาศรมฤๅษีก็ยังคงเป็นเหี้ยอยู่เหมือนเดิมฉันใด คนไม่ดีไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็เป็นคนไม่ดี และทำไม่ดีอยู่ร่ำไป
ดังนั้นถ้าหากคนไม่ดีและความไม่ดีคลาคล่ำอยู่กับนักการเมืองและพรรคการเมืองก็จะทำให้คนไม่ดีนั้นมีโอกาสขายชาติ ปล้นชาติ และโกงชาติ ก่อกรรมทำเข็ญให้กับประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเมื่อประชาชนเข้าใจเห็นความจริงเช่นนี้แล้วก็จะกำจัดขัดขวางคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ จะช่วยกันส่งเสริมคัดเลือกคนดีให้เข้าไปมีอำนาจเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมืองและราษฎรสืบไป
ประการที่สาม การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทมาก ทำให้การหาเสียงเลือกตั้งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ใช้วิธีเดินสายหาเสียงเป็นหลัก มาเป็นการใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลัก ตามด้วยการปราศรัยหาเสียง และสำหรับคนไม่ดีก็จะมีการฉ้อฉลปล้นเสียงหรือโกงการเลือกตั้งตามมาด้วย
ผลการใช้โซเชียลมีเดียในสมรภูมิเลือกตั้งได้ทำให้การเลือกตั้งในหลายประเทศพลิกล็อกชนิดเหนือความคาดหมายของผู้คน ชัยชนะของนายมาครง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส ชัยชนะของนายทรูโด ประธานาธิบดีของแคนาดา ชัยชนะของนายทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ และล่าสุดชัยชนะของนายมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้กลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้โซเชียลมีเดียในการเลือกตั้ง และทำให้สถานการณ์การเมืองในประเทศเหล่านั้นพลิกล็อกให้เห็นชัดเจนมาแล้ว
ผลการใช้โซเชียลมีเดียได้หักปากกาเซียนและลบล้างผลโพลล์แบบเก่าที่ล้าหลัง หรือที่เต็มไปด้วยเล่ห์อุบายทางการตลาดให้หงายท้องกันมาแล้วมากต่อมาก ดังนั้น จึงเป็นที่จับตาว่าการเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยครั้งนี้บทบาทของการใช้โซเชียลมีเดียจะเกิดขึ้นซ้ำรอยผลการเลือกตั้งในประเทศดังกล่าวหรือไม่ หรือว่าจะไม่สามารถทัดทานการทุจริตและการฉ้อฉลในการเลือกตั้งได้
ผลการประเมินและประมวลผลในระบบ Big data ของระบบคอมพิวเตอร์ของ google ที่เรียกว่า Google Trends นั้น ที่ผ่านมาปรากฏว่ามีผู้เข้าไปค้นหาข้อมูลชื่อพรรคการเมืองและผู้สมัครของพรรคการเมืองในทุกจังหวัดรวมกันถึง 50 ล้านครั้ง เป็นจำนวนมากที่สุดเหนือกว่าจำนวนแบบตัวอย่างของโพลล์ทั้งหลาย ซึ่งจะต้องจับตาดูกันให้ดีต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี