ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับสังคมไทย ที่สามารถจัดการเลือกตั้งครั้งสำคัญได้สำเร็จ พวกเราชาวไทยทุกคนคงรู้สึกโล่งอกที่การเลือกตั้งที่เฝ้ารอคอยได้ผ่านไปด้วยดี ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งจนเลือดตกยางออก
ต้องขอขอบคุณ กกต. และเห็นใจที่อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่หากตั้งใจทำงานอย่างตรงไปตรงมา สังคมคงให้อภัยเมื่อเกิดความผิดพลาดหรือบกพร่อง
ขอแสดงความยินดีกับผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้ง และเสียใจกับผู้ที่พลาดโอกาส โดยเฉพาะจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็น สส. ที่มีคุณภาพ และขอถือโอกาสแสดงความยินดีกับพรรคน้องใหม่ที่ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ได้แก่ พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งพลิกโฉมหน้าการเมืองสู่โลกใหม่-สังคมใหม่ คงจะต้องวิเคราะห์กันอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง ในปรากฏการณ์ใหม่ในสังคม-การเมืองของไทย
ประการแรก เป็นข้อสังเกตและข้อคิดสำหรับนักรัฐศาสตร์และนักกฎหมายว่า ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ในการนำมาใช้ในสังคมไทย
ความตั้งใจของผู้ร่างกฎหมาย ก็คือ ต้องการป้องกันมิให้เกิดพรรคใหญ่เพียง ١-٢ พรรค (ทำให้การเมืองมีแนวโน้มเป็นเผด็จการแบบพรรคเดียว) แต่ควรให้เกิดพรรคขนาดกลางจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เกิดการคานอำนาจ และปรากฏการณ์ที่เห็นก็เป็นดั่งที่ทฤษฎีว่าไว้
พรรคการเมืองที่สมัครมีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน เมื่อเดินไปถึงสถานที่ลงคะแนนเสียง มองดูกระดานที่ปิดประกาศรายชื่อพรรค ก็มึนงงแล้ว หากไม่ได้จดชื่อผู้สมัคร, ชื่อพรรค และเบอร์ผู้สมัครคงไม่ได้เลือกตั้งแน่นอน ที่สำคัญ ผลการเลือกตั้ง พรรคที่ได้คะแนนมี ١٠ พรรคด้วยกัน โดยมีพรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงสุด นั่นคือ ได้จำนวนผู้แทนราษฎรทั้งหมด ١٣٧ เป็น สส. เขตทั้งหมด ไม่มี สส. ตามบัญชีรายชื่อเลยสักคน ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนมากเป็นอันดับที่ ٢ ได้ทั้งหมด ١١٧ คน เป็น สส. เขต ٩٨ คนและสส. บัญชีรายชื่อ ١٩ คน
ปรากฏการณ์นี้ จึงปกติสำหรับพรรคพลังประชารัฐ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย น่าจะมีปัญหา เพราะผู้สมัครระดับผู้นำที่วางตัวไว้ในระบบบัญชีรายชื่อ ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว น่าจะสร้างปัญหาในการดำเนินงานการเมืองในรัฐสภา
หนทางแก้ไขในอนาคตก็อาจจะมีการปรับระบบการเลือกตั้งในบางประการ หรืออีกทางหนึ่งก็คือ ในอนาคต แต่ละพรรคคงต้องส่งบุคคลระดับผู้นำในเขตเลือกตั้งที่เรียกว่า “safe seat” (เขตที่ปลอดภัย) ซึ่งทำกันเป็นประเพณีในสังคมอังกฤษ แต่ปัญหาคือ ในสังคมไทยมีเขตที่ปลอดภัยหรือ?
ดูตัวอย่าง เขตเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร-ฝั่งธนบุรี ใครจะคิดได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะสูญเสียที่นั่งทั้งหมดในเขต กทม. - ธนบุรี เป็นปรากฏการณ์ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งจะกล่าวหาว่า สส.เดิมแต่ละเขตไม่ดูแลเขตของตน ก็อาจจะเป็นคำกล่าวที่อาจไม่เป็นจริง เพราะบุคคลที่ผู้เขียนรู้จักมักคุ้นดีในเขตที่ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เป็น สส. ผู้สมัครในเขตเหล่านี้เป็นผู้สมัครที่ “เท้าติดดิน” เอาใจใส่ต่อปัญหาในพื้นที่ หรือจะเป็นเพราะกระแส (ไม่ใช่กระสุน เพราะใน กทม. เชื่อว่าไม่ใช้กระสุน) และกระแสนั้นคืออย่างไร?
ผู้เขียนมักคบหาสมาคมกับเพื่อนๆ ที่มีภูมิหลังต่างกันราวฟ้ากับดิน บางคน เชียร์ “คนต่างแดน” อย่างหัวปักหัวปำและหลายๆ คนก็เชียร์ประชาธิปัตย์ แต่ครั้งนี้สองสามวันก่อนลงคะแนนเสียง ได้สอบถามกันตรงไปตรงมา จะโหวตให้พรรคไหน เกือบทั้งหมดจะลงคะแนนให้ พปชร. (พลังประชารัฐ)หรือ “บิ๊กตู่” ผู้เขียนก็ถามถึงสาเหตุหรือเหตุผล แทบทั้งหมดตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เพื่อความสงบ” และเหตุผลเพื่อให้บ้านเมืองสงบ ก็อาจจะเป็นแนวคิด-ความรู้สึกในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
คำถามที่ตามมาก็คือ ไม่มีเป้าหมายหรืออุดมการณ์อื่นที่กินใจประชาชนหรือ? คำตอบก็น่าจะมี เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ หรือปัญหาปากท้อง และพรรคประชาธิปัตย์ก็ดูเหมือนจะทุ่มเต็มที่ในประเด็นนี้ แต่บังเอิญพรรคอื่นๆ ก็มีเป้าหมายเดียวกัน (อาจต่างวิธี) จนทำให้เรื่องปากท้องกลายเป็นประเด็นที่ไม่มีพรรคใดจะนำมาหาเสียงให้ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันและกัน แต่ความสงบนั้นดูเหมือนพรรค พปชร.และ “บิ๊กตู่” จะมีภาษี (ตามสามัญสำนึกของประชาชน)
ส่วนประเด็นเรื่อง “ประชาธิปไตย” หรืออุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งพรรคอนาคตใหม่ ป่าวประกาศมาตั้งแต่ไก่โห่ และอาจจะทำให้คนรุ่นใหม่ (ที่จะได้ลงคะแนนเป็นครั้งแรก หลังจากว่างเว้นมา ٨ ปี) เกิดศรัทธาในอุดมการณ์ของพรรค และกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ได้ชัยชนะจากบัญชีรายชื่อถึง ٥١ ราย และชนะในเขตเลือกตั้ง ٢٩ ราย รวม ٨٠ ที่นั่ง
ความสำเร็จของพรรคอนาคตใหม่ น่าจะเกิดจากกระบวนการหาเสียงแบบใหม่ ที่พึ่งระบบ “on-line” ซึ่งเป็นวิถีทางใหม่ของสังคม “on-line” ผู้คนยุคใหม่ถนัดจะสื่อสารกันแบบนี้ เพราะเร็วทันใจ และดูจะเป็นส่วนตัวมากๆ
ชัยชนะระดับที่น่าพอใจสำหรับพรรคที่เริ่มจัดตั้งและหาเสียงเป็นครั้งแรกนี้ นอกจากมีธง ซึ่งอาจจะถูกจริตกับคนรุ่นใหม่แล้ว อาจจะเกิดจากตัวแปรที่วงการรัฐศาสตร์เรียกว่า “Identity Politics”กระแสการเมืองจากความรู้สึกเป็นคนพวกเดียวกัน มีรสนิยมคล้ายกัน อันที่จริง “Identity Politics”มิใช่เรื่องใหม่ เป็นวิธีการที่ใช้ในการสร้างกระบวนการในหมู่ชนกลุ่มน้อยในประเทศต่างๆ แต่ครั้งนี้พรรคอนาคตใหม่ได้นำมาใช้กับกลุ่มคนที่เรียกว่า “First Time Voters”- ผู้มีสิทธิลงคะแนนเป็นครั้งแรก ซึ่งในสังคมไทยมีจำนวนหลายกลุ่มอายุ เพราะว่างเว้นจากการเลือกตั้งมาหลายปี และระหว่างนี้ ระบบการศึกษาได้มีการปฏิรูปอย่างขนานใหญ่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ٢٥٤٢ และเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เข้าเรียนจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา ทำให้เยาวชนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยลงคะแนนเสียง พรรคอนาคตใหม่ น่าจะประสบผลสำเร็จในการสร้างเอกลักษณ์ร่วม กับคนกลุ่มใหญ่นี้ซึ่งน่าจะมีถึง ٧.٤ ล้านคน และได้ สส. ทั้งระบบบัญชีรายชื่อ٥١ คน และระบบเขตถึง ٢٩ คน รวม ٨٠ คน นับว่าเป็นผลสำเร็จที่น่าทึ่ง
อย่างไรก็ตาม สังคมไทยก็มีความเป็นพหุวัฒนธรรม มิใช่น้อย อย่างเช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีจำนวน สส.มากที่สุด คือ ١١٦ คน พรรคเพื่อไทยก็สามารถได้ชัยชนะถึง ٨٤ ที่นั่ง เรียกว่าเป็น แชมป์ ณ ดินแดนแห่งนี้ และหากไปสอบถามชาวชนบท หรือชาวเมืองในภาคนี้ ว่าเหตุใดจึงเลือกพรรคเพื่อไทย ทั้งๆ ที่เป็นที่รู้กันทั่วประเทศว่าอดีตหัวหน้าพรรคก็ถูกดำเนินคดีในข้อหาความผิดในเรื่องการทุจริต ฯลฯ ชาวอีสานก็จะตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า พรรคนี้ได้เคยช่วยชาวอีสานในครั้งกระโน้นให้รอดตาย แม้ว่าโครงการรับจำนำข้าวจะก่อให้เกิดปัญหาการเงินการคลังให้แก่ประเทศ แต่ชาวอีสานก็ไม่ลืมบุญคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือเขาในยามตกยาก นี่ก็คือวัฒนธรรมของชาวชนบท ในภาคหนึ่งของผืนแผ่นดินไทยที่ยึดความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่สำคัญประจำใจ
นักรัฐศาสตร์-นักกฎหมาย ตลอดจนนักปฏิรูปทั้งหลายจึงสมควรให้ความสำคัญต่อมิติทางวัฒนธรรมการเมือง ซึ่งจะต้องฟูมฟักกันตั้งแต่แบเบาะจนกระทั่งเติบใหญ่ ผ่านโลกในสถานศึกษา และโลก “on-line” และสื่อสารมวลชน นักการศึกษาไทยควรจะให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้ และฝึกอบรมให้เยาวชนมีทัศนคติและระบบคุณค่าที่สอดรับกับสังคมประชาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย ที่ไม่นิยมการแก้ไขข้อขัดแย้งโดยใช้ความรุนแรงแต่จะยึดวิถีทางของเหตุผลและสันติวิธีเป็นเส้นทางไปสู่เป้าหมาย
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี