การเลือกตั้งครั้งนี้ได้ให้บทพิสูจน์สำคัญของรัฐธรรมนูญ 2560 ตลอดจนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งอย่างชัดเจนที่สุด และส่อเค้าว่าจะมีปัญหามากหลายเกิดขึ้น กระทั่งมีความเสี่ยงว่าการเลือกตั้งอาจเป็นโมฆะ ยังไม่รวมถึงการเกิดความแตกแยกและการไม่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ 2560 นั้นเป็นรัฐธรรมนูญที่มีราคาแพงที่สุด คือใช้เวลาร่างนานมาก เกือบจะเท่ากับระยะเวลาร่างรัฐธรรมนูญในยุครัฐบาลจอมพลถนอม-ประภาส และเป็นร่างรัฐธรรมนูญที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากที่สุด หากจะคิดเป็นเงินก็หลายพันล้านบาท
ในเบื้องต้นก็เห็นชัดว่ามีปัญหาความไม่แน่นอนของบทบัญญัติต่างๆ แฝงฝังอยู่เป็นจำนวนมาก ดังจะเห็นได้จากก่อนรัฐธรรมนูญใช้บังคับก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความหลายครั้ง แม้หลังรัฐธรรมนูญใช้บังคับแล้วก็มีข้อถกเถียงในเรื่องความหมายของแต่ละบทมาตราตลอดมา
และล่าสุดนอกจากจะเถียงกันเรื่องความสุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมที่เกิดขึ้นมากมาย ล่าสุดก็มีข่าวว่าอาจต้องจัดเลือกตั้งใหม่ถึง 66 เขต
และประเด็นสำคัญที่ถกเถียงกันตลอดสิบวันที่ผ่านมาก็คือการจัดสรร สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ ให้กับพรรคต่างๆ เพราะทันทีที่มีการแจ้งผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ และสื่อมวลชนได้รายงานตัวเลข สส. รวมของแต่ละพรรคแล้ว ก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันมากมาย ที่สำคัญคือในเรื่องการจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์
โดยมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางว่า สูตรในการจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์เป็นอย่างไร ทำไมบางกรณีจะต้องอาศัยคะแนนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งราว 70,000 คน จึงจะได้ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน แต่ในตอนท้ายๆ ก็ลดลงมาเหลือเพียงประมาณ 30,000 คน ก็ได้ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คนแล้ว
ที่สำคัญคือพรรคการเมืองที่ไม่มี สส. แบบเขตเลือกตั้งเลย ถูกระบุโดยสื่อมวลชนว่าจะได้รับ สส. แบบปาร์ตี้ลิสต์ 7 คนบ้าง 5 คนบ้าง กระทั่ง 1 คนบ้าง ซึ่งมีถึง 8 พรรค ที่ได้รับจัดสรรในลักษณะนี้ ในขณะที่พรรคที่ไม่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งอีกราว 70 พรรค ไม่ได้รับการจัดสรรเลย
ทำให้นักวิชาการหลายคนออกมาทักท้วงว่า การจัดสรร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ดังกล่าวนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้สื่อมวลชนรายงานข่าวตามมาว่าการแจ้งผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการที่ผ่านมานั้น ยังไม่มีการคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ยังไม่มีสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ จึงเป็นเหตุให้มีการนัดประชุมร่วมระหว่าง กกต. กับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แล้วก็บอกว่ามีสูตรคำนวณเพียงสูตรเดียวซึ่งมีมาตั้งแต่ต้นแล้ว
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผลการเลือกตั้งโดยรวมและอาจมีผลทำให้เกิดปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะคืออาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเมื่อกรณีมีปัญหาขึ้นแล้ว แทนที่จะนำเสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยปัญหานั้น กลับไปปรึกษาหารือขอความเห็นจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แล้วอ้างว่ามีเจตนารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้ ราวกับว่าเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญต้องฟังความคิดเห็นของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แทนที่จะต้องฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตรงนี้จึงเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง
เราควรทำความเข้าใจในเรื่องนี้กันว่าระบบการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ถือหลักการหรือต้นแบบมาจากรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ซึ่งมีผู้ทักท้วงตั้งแต่ต้นแล้วว่าต้นแบบนั้นเป็นต้นแบบของประเทศที่ปกครองในระบอบสาธารณรัฐ
คือมีการกำหนดวิธีการได้มาซึ่ง สส. เป็นสองประเภท คือแบบเขตเลือกตั้งและแบบปาร์ตี้ลิสต์ โดยแบบเขตเลือกตั้งนั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะถือเป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ส่วนแบบปาร์ตี้ลิสต์นั้นเป็นบทบัญญัติที่ตราขึ้นใหม่เป็นครั้งแรก นับแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ
คือกำหนดให้มี สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์จำนวน 150 คน และรัฐธรรมนูญตลอดจนกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งบัญญัติตรงกันว่า ให้นำจำนวน สส.แบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้กับพรรคการเมืองที่มี สส. แบบเขตเลือกตั้ง โดยให้จัดสรรตามส่วน แต่ต้องไม่เกินจำนวน สส.ที่พึงมี ซึ่งความจริงก็มีความชัดเจนอย่างยิ่งอยู่แล้ว ไม่มีข้อใดต้องสงสัยอีก
ความชัดเจนแห่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้นสรุปได้เป็นสองหลักการคือ
หลักการที่หนึ่ง ให้นำจำนวน สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งตามสัดส่วน ซึ่งมีความชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งเท่านั้น จะเอาไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่ไม่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งไม่ได้
หลักการที่สอง จำนวน สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ที่จะไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งตามส่วนนั้นจะต้องไม่เกินจำนวน สส.พึงมีที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมี สส. ได้ ตรงนี้ก็มีความชัดเจนอยู่แล้ว และเป็นบทบัญญัติวางหลักการย่อยซ้อนลงไปอีกสามหลัก คือ
ข้อแรก ต้องคำนวณ สส.พึงมีของทุกพรรคการเมืองก่อน พูดให้เข้าใจโดยง่ายก็คือต้องนำจำนวนคะแนนเสียงทั้งหมดในการเลือกตั้ง หารด้วยจำนวนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับ ก็จะกลายเป็นจำนวน สส.พึงมีของพรรคนั้นๆ
ข้อสอง ต้องคำนวณการจัดสรร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด คือจำนวน 150 คน ให้แก่พรรคการเมืองต่างๆ ตามส่วน นั่นคือนำจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดเป็นตัวตั้ง หารด้วยจำนวน สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน
ก็จะเป็นสัดส่วนว่าผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งกี่คน จึงได้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน ซึ่งตัวเลขนี้จะใช้เป็นหลักในการจัดสรร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมดให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส. แบบเขตเลือกตั้ง
ข้อสาม เมื่อได้จำนวน สส.พึงมีของแต่ละพรรคแล้ว ก็นำมาเปรียบเทียบกับจำนวน สส.แบบเขตเลือกตั้งว่าขาดเกินอยู่เท่าใด ถ้าหากเปรียบเทียบกันแล้วมีจำนวนที่ขาดก็จะได้รับการจัดสรร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ตามจำนวนที่ขาดนั้นจนครบจำนวน สส.พึงมี แต่ถ้าเปรียบเทียบแล้วมี สส.เขตมากกว่าจำนวน สส.พึงมี ก็จะไม่ได้รับจัดสรร สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์
ทั้งหมดนี้เป็นบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่มีใครสามารถตั้งสูตรเอาเองหรือตีความสูตรกันเองได้ และเมื่อกฎหมายบัญญัติชัดเจนโดย
ลายลักษณ์อักษรแล้วก็ไม่มีกรณีใดต้องตีความ จะไปอ้างการอภิปรายในการประชุมหรือเอกสารในการประชุมที่แตกต่างไปจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาใช้แทนกฎหมายย่อมไม่ได้
เพราะกฎหมายนั้นบังคับให้ทุกคนต้องรู้กฎหมาย คือต้องรู้ว่ากฎหมายบัญญัติอย่างไร ซึ่งต้องดูจากตัวบทกฎหมายนั้น ไม่ใช่ต้องไปถามคนร่างกฎหมาย มิฉะนั้นกฎหมายก็ไม่มีความหมายใด และจะไปบังคับให้คนทั้งปวงว่าต้องรู้กฎหมายไม่ได้ ซึ่งเป็นความวิปริตแห่งนิติปรัชญาโดยแท้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า จำนวน สส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดรวม 150 คนนั้น ต้องนำไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งเท่านั้น จะนำไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่ไม่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งไม่ได้ หากนำไปจัดสรรก็ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ปัญหาใหญ่ที่เป็นจุดอับในเรื่องนี้ก็คือ โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีผลให้ไม่สามารถจัดสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อจำนวน 150 คน ให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งได้จนหมด 150 คน จากตัวเลขในปัจจุบันนี้เป็นไปได้ว่าหลังจากนำจำนวน สส.แบบบัญชีรายชื่อ 150 คน ไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.เขตตามสัดส่วนแล้ว จะยังคงมี สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์คงเหลืออีก 20-30 คน แล้วจะจัดสรรกันอย่างไร
เพราะจะจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งก็ไม่ได้แล้ว เพราะได้จัดสรรไปจนเท่ากับจำนวน สส.พึงมีแล้ว ครั้นจะนำไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่ไม่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งก็ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถ้ายังมีจำนวนคงเหลือก็จะทำให้จำนวน สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์ไม่ครบ 150 คน และทำให้ยอดรวมไม่ครบ 500 คน ก็จะผิดรัฐธรรมนูญอีก ตรงนี้เป็น
จุดอับที่ไม่มีบัญญัติไว้ในกฎหมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีทางออกทางเดียวเท่านั้นคือการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อกำหนดวิธีการปฏิบัติ สำหรับกรณีที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้ ก็จะเป็นการชอบด้วยรัฐธรรมนูญทุกประการ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี