ล่าสุด เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาประกาศพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม จัดตั้ง “กรมการขนส่งทางราง” มีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2562 เป็นต้นไป
นี่คือก้าวสำคัญของการยกระดับการพัฒนาการคมนาคมขนส่งระบบรางในประเทศไทย
เป็นก้าวที่ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานเป็นขั้นเป็นตอน สอดรับกันหมด ทั้งแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ
ที่สำคัญกว่าก้าวนี้ คือก้าวต่อๆ ไป หากเดินหน้าตามแนวทางที่วางแผนกันไว้ และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ จะเดินไปสู่หนใด?
1. ภาพใหญ่ คือ จะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการพัฒนาระบบราง ในขณะที่การรถไฟฯก็ทำกิจการเดินรถของตนเองไป (คล้ายๆ การบินพลเรือนก็กำกับดูแลระบบการบิน ไม่ได้ทำหน้าที่ที่สายการบิน) ในอนาคต ก็จะมีเอกชนทำกิจการเดินรถไฟฟ้าบนระบบรางของไทยแข่งกับการรถไฟฯ
ลองนึกภาพ เส้นทางสายอีสาน กรุงเทพฯ-โคราช หรือกรุงเทพฯหนองคาย ต่อไปเวียงจันทน์ ต่อไปจีน ฯลฯ อาจจะมีบริษัทเอกชนเข้ามาจัดขบวนรถไฟบริการผู้บริโภคแข่งขันกัน มีทางเลือกขบวนรถไฟหลายแบบ หลายบริษัท เป็นต้น
โดยจากนี้ไป ก็เท่ากับว่า “กรมการขนส่งทางราง” เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคม รับโอนหน้าที่และอำนาจ บุคลากร ฯลฯ เกี่ยวกับงานด้านระบบรางจากสำนักงานโครงการพัฒนาระบบราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม
เป็นการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการในสาขาขนส่ง ที่มีการแยกบทบาทและภารกิจของหน่วยงานระดับนโยบาย หน่วยงานกำกับดูแล และหน่วยปฏิบัติที่ชัดเจน ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานการให้บริการและความปลอดภัย โครงสร้างอัตราค่าบริการที่เป็นธรรม การลงทุน การบำรุงรักษาและการบริหารจัดการ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาระบบรางให้เป็นโครงข่ายหลักของประเทศ ช่วยเพิ่มระดับคุณภาพชีวิต ประหยัดพลังงาน มีความปลอดภัยสูง
2. การจัดตั้งกรมรางฯ เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามแผนการพัฒนา ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ
ถ้ากลับไปศึกษารายละเอียด จะเห็นว่า ยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคม กำหนดไว้ 5 ด้าน อาทิ
“ยุทธศาสตร์ที่ 1 การบูรณาการระบบคมนาคมขนส่ง (Integrated Transport Systems)
1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทุกรูปแบบการขนส่งและการบริการ โดยบูรณาการแผนงาน/โครงการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนจนถึงขั้นตอนการก่อสร้างให้มีความสอดคล้องกับการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งทั้งระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ให้มีโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ เป้าหมายสำคัญ ประกอบด้วย การเชื่อมโยงโครงข่าย (Connectivity) การเข้าถึง(Accessibility) และความคล่องตัวในการจราจร (Mobility) โดยมีการบูรณาการระหว่างรูปแบบการขนส่ง(Intermodal transport) มุ่งเน้นให้ระบบโครงสร้างพื้นฐานทางรางและทางน้ำเป็นรูปแบบการขนส่งหลักของประเทศ ระบบการขนส่งทางถนนเป็นระบบเสริม (Feeder Systems) เพื่อขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้าคำนึงถึงการเชื่อมต่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง พัฒนาศูนย์การเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า เช่น Inland Container Depot (ICD) หรือ Container Yard (CY) เป็นต้น รวมทั้งการพัฒนาจุดเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่ง (เช่น ท่าเรือสาทร ที่เป็นจุดเชื่อมต่อเรือด่วนเจ้าพระยา รถไฟฟ้า BTS และระบบขนส่งสาธารณะ) และการพัฒนาสถานีขนส่งผู้โดยสาร เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเดินทาง...
....ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนา ปรับปรุงกฎหมาย กำกับดูแล และปฏิรูปองค์กร (Regulations and Institution)
1)การปรับโครงสร้างองค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านคมนาคมขนส่งให้มีบทบาทที่ชัดเจนระหว่างหน่วยงานด้านนโยบาย กำกับดูแล และประกอบการด้านการขนส่ง เพื่อให้การดำเนินงานในแต่ละด้านมีความชัดเจน มีประสิทธิภาพ และได้มาตรฐานสากล รวมทั้งการปรับโครงสร้างหน่วยงานด้านคมนาคมทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำและทางอากาศ (เช่น องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)) โดยแยกหน่วยงานด้านกำกับดูแลและหน่วยปฏิบัติงานด้านการขนส่งทางน้ำและการจัดตั้งกรมการขนส่งทางราง เป็นต้น...”
3. น่าสนใจว่า หากเดินตามแผนต่อเนื่อง เหมือนที่เดินมาแล้วในการจัดตั้งกรมรางฯ ภาพใหญ่จะเป็นอย่างไร?
“ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2560 - 2564)
มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาพื้นฐานเร่งด่วนด้านคมนาคมขนส่ง(Critical Transport Issues) และเร่งผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในส่วนที่ไม่สมบูรณ์หรือเป็นคอขวด (Missing Link/Bottleneck) ตามแนวเส้นทางหลัก (Main Transport Corridor)โดยมุ่งเน้นการดำเนินการ ดังนี้
1) แก้ไขปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเมืองหลักในภูมิภาค ทั้งทางกายภาพและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยพิจารณาบังคับใช้มาตรการการบริหารจัดการความต้องการในการเดินทาง เช่น การจำกัดจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลที่เข้าสู่ย่านธุรกิจ การลดจำนวนที่จอดรถยนต์ และการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนน เป็นต้น
2) เร่งพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งในเมืองหลัก 6 แห่ง ในภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก ขอนแก่น นครราชสีมา ภูเก็ต และสงขลา
3) แก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน จากกรอบปฏิญญามอสโก กำหนดให้ปี 2554-2563 เป็น “ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน” (Decade of Action for Road Safety) โดยมีเป้าหมายลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ต่ำกว่า 10 คนต่อประชากรแสนคน ในปี พ.ศ. 2563 มาตรการติดตั้ง GPS ควบคุมความเร็วและพฤติกรรมในการขับขี่รถสาธารณะ การฝึกอบรมพนักงานขับรถ และการเข้มงวดในกฎ ระเบียบ เป็นต้น
4) พัฒนาระบบรางระหว่างเมืองเพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ทั้งระบบรางที่มีอยู่เดิมขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) และขนาด 1.435 เมตร (Standard Gauge) โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางราง
5) พัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟและรถไฟฟ้า (TOD)
6) พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งที่ส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และการพัฒนาพื้นที่เฉพาะ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
7) พัฒนาระบบขนส่งที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาโครงข่ายระบบราง ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EV) การจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้า เป็นต้น
8) พัฒนาการเข้าถึงระบบขนส่งของคนทุกกลุ่ม ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้มีรายได้น้อย
9) พัฒนาและส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพการให้บริการระบบคมนาคมขนส่งทุกรูปแบบ ด้วยการฝึกอบรมผู้ให้บริการขนส่งและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีมาตรฐาน โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งอย่างเหมาะสม รวมทั้งการปฏิรูป ปรับปรุงบทบาทองค์กร และกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ...”
4. จะเห็นได้ว่า การพัฒนาระบบรางที่เกิดขึ้น เป็นกรณีตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง ที่ดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และมีเป้าหมายต่อไปที่น่าสนใจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งไม่ได้ล้าหลังเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี เหมือนที่พรรคการเมืองบางพรรค บางกลุ่ม พยายามจะป้ายสีกล่าวหา และหาทางจะล้มล้างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนแผนยุทธศาสตร์ชาติ
ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่การพูดคุย แล้วเขียนไว้ในกระดาษ โดยไม่มีการลงมือทำจริงๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี