อภินิหารของรัฐธรรมนูญกำลังทำให้ทุกภาคส่วนของประเทศไทยปั่นป่วนสับสนอลหม่าน จนกระทั่งบางฝ่ายวิตกกังวลว่าประเทศไทยจะเข้าสู่วิกฤติ Dead Lock ทางการเมืองหรือไม่ ก็จะเกิดความสับสนปั่นป่วนในการดำเนินคดีกันกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
เพราะแม้ว่าเวลาเลือกตั้งผ่านพ้นไปเกือบเดือนแล้วก็ยังไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ ยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งซ่อมหรือเลือกตั้งใหม่ในบางเขตเลือกตั้งได้ กระทั่งยังไม่มีใครทราบว่ามีกี่เขตเลือกตั้งที่การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่สุจริต หรือไม่เที่ยงธรรม
กระทั่งคะแนนเลือกตั้งของแต่ละเขตเลือกตั้งก็กลายเป็นความลับที่มืดทะมึน อันผิดแผกจากการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา ที่หลังปิดหีบเลือกตั้งไม่กี่ชั่วโมงก็รู้ผลการนับคะแนนเกือบทุกเขตเลือกตั้งแล้ว และหลังจากนั้นอีกวันสองวันก็จะทราบผลคะแนนครบหมดทุกเขตเลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มีใครรู้และไม่มีใครบอกกล่าว จึงกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนจับตามอง
เป็นการจับตามองท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ กกต. ต้องเปิดเผยความจริงในเรื่องสำคัญหลายเรื่อง โดยเฉพาะคือมีการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินจำนวนที่ต้องใช้จำนวนเท่าใด เพราะบ้างก็กล่าวหาว่ามีการพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินถึง 5 ล้านใบ และได้นำบัตรเลือกตั้งส่วนที่เกินนี้ไปใช้ที่เขตเลือกตั้งใด รวมกันแล้วเป็นจำนวนเท่าใด ตลอดจนเหตุผลว่าทำไมจึงต้องเอาบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินไว้ไปใช้ ก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ
สำหรับคะแนนเลือกตั้งของแต่ละเขตเลือกตั้งที่ยังไม่มีการประกาศออกไปเลยก็มีข่าวหนาหูว่า พรรคการเมืองหลายพรรคได้เก็บข้อมูลตัวเลขผลการนับคะแนนของทุกหน่วยเลือกตั้ง แล้วมารวบรวมเป็นผลคะแนนของเขตเลือกตั้งว่าพรรคไหนได้คะแนนเท่าใด
เหมือนหนึ่งว่าเตรียมพร้อมรอการประกาศของ กกต. ว่าถ้าหากผลการนับคะแนนทางการผิดเพี้ยนไปจากหลักฐานที่พรรคการเมืองได้รวบรวมไว้ ก็จะมีการกล่าวหาดำเนินคดีในเรื่องการทุจริตเลือกตั้งกันอย่างกว้างขวาง กระทั่งมีข่าวแว่วๆ ว่าจะมีการดำเนินคดีกันนับร้อยเขตเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นอกจากนั้น ผลการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการที่ประกาศกันมาหลายรอบแล้วก็ถูกปฏิเสธว่ายังไม่ใช่ผลเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการ เพราะ กกต. ยังไม่มีสูตรในการคำนวณจัดสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อให้กับพรรคการเมือง ดังนั้น การยึดถือข่าวผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการที่ผ่านมานั้นจึงยึดถืออะไรไม่ได้ และหาความแน่นอนอันใดก็ไม่ได้
เพราะคงต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามที่ กกต. ได้มีหนังสือส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสียก่อน ซึ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไรแล้วก็จะได้ดำเนินการกันต่อไป แต่จะเป็นผลอย่างไรก็ไม่มีใครคาดเดาได้ หรือถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัยก็จะเป็นเรื่องปั่นป่วนวุ่นวายหนักข้อขึ้นไปอีก
ดังนั้นในท่ามกลางความไม่แน่นอนดังกล่าวจึงเกิดเสียงร่ำลือต่างๆ นานา กันไม่เว้นแต่ละวัน และสำหรับพวกที่คาดหมายประมาณการผลการเลือกตั้งโดยถือเอาจากข่าวที่ไม่เป็นทางการ ก็แข่งกันจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งก็มีลักษณะเป็นสามก๊กดังที่มีการประมาณสถานการณ์ไว้แต่เดิมนั่นเอง
นั่นคือพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยยังคงเป็นตัวแปรและเป็นผู้คุมดุลในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างสำคัญ ที่ถ้าหากสองพรรคนี้เทคะแนนให้กับก๊กไหน ก๊กนั้นก็มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้น แม้กระนั้นก็คาดหมายกันว่าคะแนนเสียงจะปริ่มน้ำ จะทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นที่วิตกกังวลกันทั่วไป และความวิตกกังวลนี้ก็แพร่ขยายไปยังบรรดามิตรประเทศทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการค้ากับประเทศไทยด้วย
ในสถานการณ์เช่นนั้น ข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องรัฐบาลแห่งชาติก็เกิดขึ้นเป็นระลอกๆ และหนาหูขึ้นโดยลำดับ แต่ก็เป็นธรรมเนียมของการเมืองแบบไทยๆ ในยุคนี้ที่ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามตั้งแต่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไปจนถึงเรื่องใหญ่ก็โต้เถียงกันโดยหาข้อยุติไม่ได้แล้วก็กล่าวหาด่าว่ากันเสียๆ หายๆ และกลายเป็นความแตกแยกแตกสามัคคีที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองมากขึ้นโดยลำดับ
ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่เรียกว่ารัฐบาลแห่งชาตินั้น ไม่ใช่ถ้อยคำหรือบทบัญญัติอันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงวาทกรรมอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงความปรารถนาที่จะให้มีรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากจนเพียงพอที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ และมีเสถียรภาพในการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามปกติสุขได้ และลดปัญหาความแตกแยกแตกสามัคคีได้
สิ่งที่เรียกว่ารัฐบาลแห่งชาติที่พูดกันไปพูดกันมานั้น โดยสรุปก็คือหมายถึงรัฐบาลที่ประกอบด้วยพรรคต่างๆ ส่วนใหญ่ และมีเสียงเป็นส่วนใหญ่ที่มีจำนวนมากพอที่จะแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศได้ แต่ก็คงจะต้องมีฝ่ายค้าน ซึ่งอาจจะมีพรรคการเมืองบางพรรคและพรรคเล็กพรรคน้อยอีกหลายพรรค แบบเดียวกับการเมืองของมาเลเซียหรือสิงคโปร์นั่นแหละ
ดังนั้นการติดตามข่าวสารบ้านเมืองในช่วงนี้จึงยังคงต้องมองให้เห็นสถานการณ์ว่า ขั้วการเมืองที่จะจัดตั้งรัฐบาลนั้นยังคงเป็นขั้วของก๊กเพื่อไทยและพันธมิตร หรือไม่ก็ขั้วของก๊กพลังประชารัฐและพันธมิตร ซึ่งต่างก็มีเสียงปริ่มน้ำและมีเสถียรภาพน้อยมาก
แต่ก็อาจมีความแปรเปลี่ยนของสถานการณ์ได้ คือ ขั้วที่สาม หรือขั้วที่เป็นตัวแปรและถือดุลในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะพลิกผันสถานการณ์มาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แล้วระดมเอาพรรคการเมืองใหญ่ๆ เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคการเมืองบางพรรคและพรรคเล็กพรรคน้อยเป็นฝ่ายค้าน โดยที่ไม่ต้องจ้างให้เป็นฝ่ายค้านเหมือนการเมืองของสิงคโปร์ก็ได้
ถ้าหากเป็นนักมวย แม้นักมวยในมุมแดงจะได้เปรียบ แต่นักมวยในมุมน้ำเงินก็มีกำลังวังชาที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันอย่างปริ่มน้ำ ในขณะเดียวกัน ก็มีนักมวยคนที่สามที่พร้อมจะเข้ามาแทรก ซึ่งถึงแม้จะผิดแผกไปจากกติกา แต่ความจริงของการเมืองประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี