ความเป็นราชอาณาจักรของไทยได้ถูกท้าทายมาโดยตลอด ซึ่งแต่ในอดีตภัยคุกคามนั้นมักจะมาจากต่างประเทศ แต่ในยุคหลังนั้นได้มีปัจจัยคุกคามจากภายในเพิ่มมาด้วย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องทั่วไปของสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศใด หรือสังคมใคร
โดยในสมัยอยุธยาจนถึงสมัยกรุงธนบุรี จวบจนต้นสมัยรัตนโกสินทร์ รัฐสยาม รัฐไทยได้ถูกคุกคามจากพม่าเป็นหลัก และมีญวน-เวียดนาม เข้ามาสลับในระยะหลัง
หลังจากนั้นแล้ว บรรดาภัยคุกคามจากชนชาติพื้นเมือง ทั้งฝั่งตะวันตก และตะวันออก ได้หายไปโดยเปลี่ยนมาเป็นการรุกรานจากบรรดารัฐเจ้าอาณานิคมฝรั่งมังค่าแทน
แต่ด้วยเชิงการทูตอันยอดเยี่ยมของพระมหากษัตริย์ไทย รวมทั้งการรู้จักประมาณพละกำลังของตน ดำเนินนโยบายบนหลักคิดว่าด้วยการเสียน้อยไม่ต้องเสียมาก ส่งผลให้ราชอาณาจักรไทยสามารถรอดพ้นการถูกครอบงำ และถูกครอบครองจากประเทศตะวันตกมาได้อย่างสง่างามเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ กลายเป็นที่กล่าวขวัญเชิงยกย่องนับถือว่า มีความสามารถในการรักษาเอกราชไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และน่าทึ่งด้วยกุศโลบายและวิสัยทัศน์
จวบเมื่อภยันตรายจากลัทธิล่าอาณานิคมได้ผ่านพ้นไป การคุกคามรูปแบบใหม่ ก็คืบคลานเข้ามาในรูปแบบอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ที่ต้องการจะถอนรากถอนโคนราชอาณาจักรไทยและเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสาธารณรัฐเผด็จการแทน
และนอกจากภัยคอมมิวนิสต์แล้ว ก็ยังมีกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีความคิดความเห็นว่า หากจะให้ประชาธิปไตยของไทยสามารถฝังรากและตัวไปได้ดีนั้น จะต้องทำการเปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรให้เป็นสาธารณรัฐเสีย ซึ่งพ้องกับแนวคิดบางส่วนของกลุ่มอุดมการณ์คอมมิวนิสต์
ไม่ว่าจะเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ที่มีแนวคิดจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง หรือจะเป็นพวกนิยม สาธารณรัฐประชาธิปไตยนิยมก็ดี ทั้งสองกลุ่ม ต่างก็มีความคิดเห็นว่า ความเป็นราชอาณาจักรนั้นไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของพวกเขา โดยในกรณีฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องล้มล้างสถาบันกษัตริย์ลง ในขณะที่ฝ่ายนิยมสาธารณรัฐนั้น เชื่อกันว่าตัวประมุขประเทศ จะต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
และเพื่อการสนับสนุนแนวความคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทยดังกล่าว ก็เลยจะได้เห็นคนเหล่านี้ ออกมาตอกย้ำเรื่องราวการปฏิวัติที่ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน หรือแม้กระทั่งสงครามเอกราชของคนอเมริกัน
แต่นักคิด นักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านความเป็นราชอาณาจักรเหล่านี้ กลับมิเคยได้ยกเรื่องความสำเร็จของความเป็นราชอาณาจักร กับประชาธิปไตย ขึ้นมาพูดต่อสาธารณะเลย
ในประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น เบลเยียม เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก ลิกเตนสไตน์ เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ สวีเดน มาเลเซีย และแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ (ซึ่ง 3 ประเทศหลัง มีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเป็นองค์ประมุข) ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบราชอาณาจักรที่กษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายและสังคมเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งการณ์นี้เกิดขึ้นได้ด้วยสันติวิธีของการเจรจาหารือ ระหว่างฝ่ายกษัตริย์ กับฝ่ายประชาชนพลเมืองผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเป็นหุ้นส่วนของประเทศ
นอกจากนั้น ก็ไม่เคยบอกกล่าวให้คนทั่วไปได้รับทราบว่า องค์ประมุขของฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน ต่างไม่ได้รู้สึกร้อนหนาวกับเสียงเรียกร้องของประชาชน ไม่ได้มีความคิดที่จะพูดจาปรึกษาหารือ หรือต่อรองกับประชาชนในสังคม ต่างดำเนินนโยบายบริหารประเทศด้วยความแข็งกร้าว ยึดมั่น ถือมั่น ไม่รับความจริง หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสังคม ในที่สุดก็ถูกขับไล่ โค่นล้มลงไป เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ใช้ขันติและการอะลุ้มอล่วยเป็นหลักปฏิบัติ
นอกจากนั้นแล้ว วิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย ที่เกิดขึ้นในประเทศราชอาณาจักรของไทยเรา แม้จะมีการก่อการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจไปจากกษัตริย์ ด้วยการล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เมื่อกระบวนการต่างๆ สิ้นสุดลง สถาบันกษัตริย์ไทย ก็มิเคยได้พยายามเรียกร้องอำนาจใดๆ กลับคืนไป และก็ไม่มีการคิดแก้แค้น เอาแพ้เอาชนะกันอีก และเมื่อนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองการปกครองในรูปโฉมรูปแบบของประชาธิปไตยก็สามารถรักษาไว้จนกระทั่งบัดนี้ แม้ว่าจะมีประเด็นปัญหาอยู่บ้างก็ตาม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงกันต่อไป
ดังนั้น บรรดานักการเมือง นักวิชาการอิงการเมือง อิงตำแหน่ง นักเคลื่อนไหวอิงลัทธิเสริมสร้างการเกลียดชัง ที่ออกมาบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ เพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การเป็นสาธารณรัฐนั้น จึงควรถูกสังคมรังเกียจ เพราะมันเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย น่าวิตก เนื่องจากเป็นการดำเนินการ ที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความแตกแยก ความเกลียดชัง การมุ่งร้าย และการทำลายล้างในสังคมไทย โดยหยิบยกแต่เหตุการณ์บางประการ หรือเหตุการณ์บางเรื่องในบางประเทศมาตีฆ้องร้องป่าว ให้เป็น “จุดขาย” ทางการตลาด โดยไม่พูดถึง ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงอื่นๆ ว่า ระบอบประชาธิปไตย กับความเป็นราชอาณาจักรนั้น เดินไปด้วยกันได้ และอยู่กันได้ดีเสียด้วย
แต่ก็น่าแปลกใจที่บรรดา ผู้บริหารประเทศ ผู้นำพรรค กลุ่มอธิการบดีมหาวิทยาลัย นักคิด นักเขียน นักประวัติศาสตร์ สื่อสร้างสรรค์ กลับเงียบเฉย ไม่รู้มัวแต่ไปหลบอยู่ที่ไหน
เหตุใดจึงปล่อยให้มนุษย์ที่ประสงค์ร้ายต่อความเป็นราชอาณาจักรเหล่านี้ มาเพ่นพ่านอยู่ในสังคมไทย พ่นน้ำลายเรื่องหลอกลวงสังคมว่า ประชาธิปไตยจะก้าวหน้าได้ ต้องเป็นสาธารณรัฐแต่เพียงเท่านั้น
องค์ประมุขนั้นคือ ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคนในชาติ (The Custodian) โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ประมุขที่อยู่ในทศพิธราชธรรม ย่อมเป็นเสาหลักของสังคมในการฝ่าวิกฤติต่างๆ ดั่งที่ประชาชนไทยได้ประจักษ์ตลอดมา
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี