มีคำถามว่าระหว่างผลประโยชน์ประเทศชาติกับผลประโยชน์ส่วนตัว นักการเมืองไทยให้ความสำคัญเรื่องใดมากกว่ากัน คำถามนี้ถูกถามทุกยุคทุกสมัย ส่วนคำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าใครตอบ ระหว่างนักการเมืองกับประชาชน แต่ไม่ว่าใครตอบก็ตาม ความจริงก็หนีความจริงไม่พ้น เพราะประเทศชาติไม่เคยได้อะไรจากนักการเมือง มีแต่นักการเมืองได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากประเทศชาติเสมอมา
ในยามนี้เศรษฐกิจไทยกำลังได้รับผลกระทบด้านลบอย่างร้ายแรงสาหัสสากรรจ์อันเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากปมประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา แต่สาธารณชนไทยกลับไม่เคยพบว่านักการเมืองไทยจะคิดแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจให้ประเทศชาติให้รอดพ้นจากปัญหาดังกล่าว แต่กลับพบว่านักการเมืองกำลังแย่งชิงอำนาจรัฐอย่างบ้าคลั่ง นักการเมืองแต่ละคนล้วนกระสันอยากจะได้ครอบครองเก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ เพราะกระทรวงสำคัญมีงบประมาณมาก แต่ที่น่าสมเพชหนักยิ่งกว่าคือ ดันอุตส่าห์มีนักการเมืองบางรายที่ตนเองยังมีข้อเท็จจริงเรื่องการถือครองหุ้นธุรกิจสื่อสารมวลชน กลับกล้าประกาศว่าตนเองจะเป็นนายกรัฐมนตรี
น่าสมเพชประเทศไทย น่าสงสารคนไทยเหลือเกินที่ประเทศไทยหานักการเมืองผู้มีความคิดเพื่อส่วนรวมโดยแท้จริงไม่ได้ หากจะมีผู้โต้แย้งว่าการพูดเช่นนี้เป็นการพูดจาดูถูกดูแคลนนักการเมืองมากเกินไป ก็ต้องถามกลับว่า แล้วมีนักการเมืองคนไหนบ้างที่ยืนยันอย่างมั่นคงและหนักแน่นว่าจะเข้ามาเแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจให้ประเทศไทย แล้วถ้าแก้ปัญหาให้บ้านเมืองไม่สำเร็จ ตนเองจะแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ล้มเหลว ซึ่งก็ไม่เคยปรากฏว่าจะมีใครกล้าประกาศรับผิดชอบเช่นนี้ จนถึงบัดนี้ยังไม่เห็นว่าจะมีนักการเมืองหน้าไหนบอกถึงหนทางแก้วิกฤติเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมให้ชาติบ้านเมือง แต่เท่าที่เห็นคือต่างฝ่ายต่างพยายามยื้อแย่งเก้าอี้รัฐมนตรี ส่วนสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ก็ไม่ได้มีอะไรดีมากไปกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะไม่เคยเห็นว่า สว. รายใดจะแสดงสติปัญญาอันเฉียบแหลมซึ่งบ่งบอกถึงแนวทางแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้แม้แต่คนเดียว แต่จะพบเพียงว่า สว. ต่างยินดีปรีดากับการได้รับตำแหน่ง
บ้านเมืองในยามนี้เต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ นานา อาทิ ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดของคนในชาติที่ฝังรากลึก ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาความยากจน ปัญหาหนี้สิน ปัญหายาเสพติด ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาไร้คุณภาพการศึกษา ปัญหาสุขภาพพลานามัย ปัญหาคอร์รัปชันฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม และอีกสารพัดปัญหาจนเกินกว่าจะบรรยายได้หมดในเวลาอันสั้น
ในเมื่อบ้านเมืองเต็มไปด้วยปัญหามากมายเช่นนี้ แต่สาธารณชนกลับไม่พบว่าจะมีนักการเมืองหน้าไหนกล้าประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้นโยบายใดขจัดปัดเป่าปัญหาต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากบ้านเมือง นักการเมืองจะอ้างเพียงว่าต้องได้อำนาจรัฐไปครอบครองก่อนจึงจะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองได้ แต่คำอ้างดังกล่าวก็ถูกพิสูจน์มาแล้วหลายสิบปีว่า เมื่อนักการเมืองได้อำนาจรัฐแล้ว ก็ไม่มีปัญญาแก้ปัญหาให้บ้านเมือง แต่กลับใช้อำนาจรัฐเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองและพวกพ้อง และที่สำคัญคือสังคมไทยพบเห็นมาแล้วว่า ไม่ว่านักการเมืองจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารก็ชั่วช้าสามานย์ไม่แตกต่างกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี