เมื่อพูดถึงการกลับขึ้นสู่อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.ในครั้งนี้นั้น ถูกมองว่าได้มีการตระเตรียมการหลายสิ่ง เพื่อให้กลับสู่อำนาจตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง? เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบตามรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจสว.ในการโหวตนายกฯได้? การออกแบบการเลือกตั้งโดยใช้ระบบแบบ MMA ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าออกแบบผ่านคนของ คสช.? หรือการสร้างพรรคการเมืองใหม่ที่ถูกมองว่าเป็นที่รวบรวมคนที่มาจากรัฐบาลประยุทธ์เดิม โดยมีการดึงดูดอดีตสส.และนักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ เข้ามาอย่างมาก เพื่อสร้างฐานเสียงสำเร็จรูปให้พรรคใหม่นี้? ซึ่งผลจากการเดิมพันด้วยต้นทุนที่สูงมากนี้เอง แม้ผลตอบแทนจะออกมาไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะจำนวนสส.ในพรรคใหม่ยังไม่มากพอ จึงต้องอาศัยคะแนนพรรคร่วม โดยต้องรวบรวมเสียงในสภาฯ ได้เกินครึ่งหนึ่งแต่ก็สำเร็จในที่สุด แต่ก็นับได้ว่าเป็นการสร้างแนวร่วมที่ต้นทุนสูงลิ่ว เพราะต้องยอมเสียเก้าอี้รัฐมนตรีในหลายกระทรวงสำคัญ รวมถึงเก้าอี้ประธานสภาฯ ไปให้กับพรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ที่ถือจำนวนเสียงในมือมากพอ ขนาดที่จะมองข้ามไม่ได้?
ส่วนด้านการเลือกนายกฯ ที่ถือเป็นคีย์สำคัญในการดำเนินการจัดการบริหารประเทศต่อจากนี้ โดยวานนี้ในการเลือกนายกฯ มีแคนดิเดตจาก 2 ขั้วการเมืองคือขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่มีเสียงสส.รวม 254 เสียง เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ส่วนขั้ว 7 พรรคการเมืองนำโดยพรรคอนาคตใหม่ ก็มีมติเสนอชื่อนายธนาธร เป็นแคนดิเดตคู่ชิงนายกฯ ซึ่งการประกาศและรวบรวมเสียงเสร็จตั้งแต่วันที่ 4 มี.ค. แล้วว่าฝั่งที่ได้คะแนนสูงสุดในสภาฯคือฝั่งที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์และยังรวมกับเสียงในสภาฯที่หลายคนคาดการณ์อยู่แล้วว่าจะสนับสนุนใคร พล.อ.ประยุทธ์ก็จะได้ดำรงตำแหน่งนายกฯต่อ แต่ถึงอย่างไรการที่นายธนาธร ขึ้นมาเป็นแคนดิเดตขึ้นชกด้วยนั้น ถูกมองว่าต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกฯ ยากลำบากขึ้นหรือไม่? และในความเป็นจริงเป็นอย่างไร?
แม้จะตั้งรัฐบาลได้ แต่หนทางการคงอยู่ในอำนาจสำหรับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็นับว่ามีความท้าทายอยู่หลายเรื่อง ทั้งการสูญเสียเครื่องทุ่นแรงหรืออำนาจพิเศษตามมาตรา 44? ที่ได้ระบุไว้ตามรัฐธรรมนูญว่าจะสิ้นสุดลงทันทีเมื่อมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังการเลือกตั้ง เท่ากับว่า การบริหารประเทศในรัฐบาลประยุทธ์ 2 จะเป็นการดำเนินการภายใต้สภาวการณ์ปกติ ที่ร่าง พ.ร.บ. ต่างๆ จะต้องผ่านการพิจารณาในสภาฯ ซึ่งน่าจะเข้มข้นเป็นอย่างมากจากการที่รัฐบาลและฝ่ายค้านมีเสียงห่างกันแค่ปริ่มน้ำเท่านั้น นอกจากนี้ รัฐบาลประยุทธ์ 2 ยังต้องเผชิญกับความล่อแหลมจากการที่มีพรรคร่วมรัฐบาลอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการจัดสรรผลประโยชน์กับขั้วรัฐบาลอิสระอย่างพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย? ที่ถ้าหากขาดขั้วใดไป ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะคงสภาพการเป็นรัฐบาลไว้ได้ บทเรียนที่ดูจะชัดที่สุดหากเทียบกับในอดีต คงเป็นรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อปี 2518 ที่ประกอบไปด้วยพรรคขนาดเล็ก 16 พรรค ซึ่งสุดท้ายแล้วคงสภาพอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี ก็ต้องยุบสภาฯ แต่ครั้งนี้คงไม่เป็นเช่นนั้น?
ถึงแม้หลังจากตั้งรัฐบาลได้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกฯ จะมีอำนาจในการยุบสภาฯ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้อย่างที่แกนนำพรรคพลังประชารัฐขู่ไว้? แต่การยุบสภาฯ ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงตามมาไม่ใช่น้อยเช่นกัน เพราะเท่ากับว่าเป็นการเดิมพันกับผลการเลือกตั้งอีกรอบ ดังนั้นหลายคนจึงเชื่อว่า พรรคพลังประชารัฐคงจะไม่ยอมเสี่ยงกับการเลือกตั้งอีกรอบแน่ๆ การยุบสภาฯ จึงน่าจะเป็นหนทางในสถานการณ์ที่บีบคั้นจริงๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่ารัฐบาลชุดนี้จะอับจนหนทาง เพราะแม้จะเสียเครื่องทุ่นแรงสารพัดนึกอย่าง มาตรา 44 ไป? แต่กลับมีอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ (ซึ่งโดยมากเป็นคนจากฝั่งรัฐบาล) จะเข้ามากำกับดูแลการดำเนินนโยบายของรัฐบาล โดยสิ่งที่เป็นข้อสังเกตก็คือ ถ้อยความส่วนหนึ่งในมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 ซึ่งระบุไว้ว่า หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยมีหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งหลายคนคาดการณ์ว่า นอกจากจะสร้างความสะดวกให้กับพรรคพลังประชารัฐในการดำเนินนโยบายของตัวเองแล้ว ยังช่วยให้พรรคพลังประชารัฐสามารถควบคุมการดำเนินนโยบายของพรรคร่วมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอีกด้วยใช่หรือไม่?
นอกจากประเด็นเรื่องยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ก็ยังมีข้อกฎหมายอีกบางมาตราในรัฐธรรมนูญที่หลายคนคาดว่า อาจถูกใช้เป็นบัตรผ่านในการคลอดกฎหมายกรณีที่สถานการณ์สภาผู้แทนราษฎรไม่เอื้ออำนวย? ได้แก่ มาตรา 143 ซึ่งเกี่ยวพันถึงเรื่อง การร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่วางหลักไว้ทำนองว่า หากสภาฯไม่สามารถพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ได้ภายใน 105 วัน ให้ถือว่าเห็นชอบ และให้เสนอ พ.ร.บ. งบประมาณฯ ต่อวุฒิสภาเพื่อให้มีการพิจารณาภายใน 20 วัน? เมื่อ สว. เห็นชอบก็สามารถผ่านเป็นกฎหมายได้ไม่ต่างจากการพิจารณาในชั้น สส. ข้อกฎหมายนี้จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือปลดล็อก? ที่ถูกวางเอาไว้ในกรณีที่ฝ่ายค้านโหวตคว่ำ ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ซึ่งหากเป็นไปตามขั้นตอนดังกล่าวแล้วจริง ในที่สุด พ.ร.บ. งบประมาณฯ ก็จะถูกบัญญัติเป็นกฎหมายอยู่ดีแม้ไม่ผ่านสภาฯหรือไม่?
นอกจากนี้ในกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อจนไม่สามารถผ่านร่าง พ.ร.บ. ได้ทันปีงบประมาณใหม่ ก็ยังอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 141ให้สามารถใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณปีก่อนหน้าไปพลางก่อนได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ซึ่งระบุไว้ทำนองว่า ร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด 16 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยหากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดําเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของแต่ละสภา อาจเข้าชื่อกันร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้วินิจฉัย โดยหากประธานรัฐสภารับคำร้อง ก็จะมีการนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการร่วม ซึ่งประกอบด้วยกรรมการ 5 คน ได้แก่ ประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนคณะรัฐมนตรีคนหนึ่ง และประธานคณะกรรมาธิการสามัญคนหนึ่ง ซึ่งเลือกกันเองระหว่างประธานคณะกรรมาธิการสามัญในวุฒิสภาทุกคณะเป็นกรรมการ โดยให้วินิจฉัยตามเสียงข้างมาก ซึ่งผลของการวินิจฉัยถือเป็นที่สุดและให้ประธานรัฐสภาดำเนินไปตามคำวินิจฉัย ซึ่งนี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งข้อกฎหมายที่หลายคนมองว่า จะช่วยให้รัฐบาลสามารถออกกฎหมายและบริหารประเทศต่อไปได้แม้จะเผชิญกับภาวะเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม
จุดร่วมของกฎหมายทั้งสองมาตรานี้ที่หลายฝ่ายสังเกตเห็นคือ ขอบเขตอำนาจของวุฒิสภา ที่ในทีแรกหลายคนเชื่อว่าน่าจะมีเข้ามามีส่วนแค่ในการโหวตเลือกนายกฯ และจบเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ในตอนนี้อาจยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งข้อกฎหมายดังกล่าว เพราะรัฐบาลปัจจุบันยังคงเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ อยู่ ทว่าในอนาคตต่อไปหากเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งในหมู่พรรคร่วมจนทำให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย ก็มีโอกาสที่จะมีการหยิบยกกฎหมายเหล่านี้มาใช้เป็นเครื่องทุ่นแรงแทนที่อำนาจตามมาตรา 44 ที่สิ้นสุดลงไป? ถึงกระนั้นการพึ่งพาอำนาจของวุฒิสภาที่มาจากการสรรหากันเองโดย คสช. เป็นช่องทางหลบเลี่ยงอุปสรรคจากสภาฯ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงก็นับว่าเป็นเครื่องมือที่ล่อแหลมต่อการกดดันจากภาคประชาชน ซึ่งถ้าเลือกได้ ก็คงเป็นเครื่องทุ่นแรงที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่น่าจะอยากนำมาใช้นักเช่นกัน?
นอกจากนี้ แม้ฝ่ายรัฐบาลจะมีข้อกฎหมายเป็นช่องทางไว้แก้เกมการเมืองในสภาฯ แล้ว ก็ใช่ว่ารัฐบาลจะดำเนินการได้อย่างราบรื่น? เพราะแม้จะมีการดึงอำนาจ สว. มาช่วยในการออกกฎหมายได้ แต่การดำเนินการเพื่อให้สำเร็จลุล่วงก็ยังคงต้องพึ่งประธานสภาฯ ที่ยังคงมีบทบาทในการเชื่อมโยงการดำเนินงานของทั้งสองสภาฯ อยู่ ซึ่งในที่สุดแม้จะยากต่อการเปลี่ยนผลลัพธ์ แต่ก็น่าจะมีผลต่อความช้าเร็วในการดำเนินการผ่านกฎหมายไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเมื่อตำแหน่งประธานสภาฯ ตกอยู่กับพรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์
“…ขอเพียงไม่ละอายต่อมโนธรรม
ไยต้องไปสนใจผู้อื่นคิดอย่างไร?...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี