“ยาเส้น” ยาสูบพื้นเมือง สูบกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย เกษตรกรในหลายจังหวัดปลูกกันเอง เมื่อใบแก่ได้ที่จะทำการเก็บเกี่ยว โดยผ่านกระบวนผลิต ด้วยการบ่มจนเหลือง นำมาหั่นเป็นเส้นบาง ตากแห้งด้วยแสงแดด เมื่อแห้งจะมีสีน้ำตาลอมส้ม ไม่มีการเจือปนสี ไม่ผ่านการปรุงแต่ง
บ้างก็ใช้ยาเส้นไปผสมกับส่วนอื่นทำเป็นยาแผนโบราณ ตามความเชื่อของแต่ละพื้นที่ อาทิ ใช้ประคบบาดแผลห้ามเลือด แก้พิษงู รักษากลากเกลื้อนปราบหิดเหา ได้เป็นอย่างดี
ก็มีบทความจากท่านผู้รู้ส่งมาให้ผมน่าสนใจครับเกี่ยวกับวงการยาเส้น
คือเมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาเส้นภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือกว่า 2,700 ราย ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตยาเส้น จนต้องมารวมตัววิงวอนให้รัฐบาลแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาเส้นและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาเส้น
แม้กรมสรรพสามิตจะย้ำว่าการขึ้นภาษียาเส้นครั้งนี้ไม่มีผลกระทบกับชาวไร่และโรงงานหั่นยาเส้นของชาวบ้านเพื่อส่งให้กับการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เพราะได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว แต่ผู้ประกอบการโรงงานยาเส้นที่ต้องรับภาระภาษีเพิ่มกลับไม่ยอมรับซื้อใบยาเส้นจากชาวไร่ เพราะเงินไม่เพียงพอที่จะไปชำระภาษีสรรพสามิต ทำให้มีใบยาเหลือค้างที่ชาวไร่กว่า 1 แสนกิโลกรัม
เรื่องนี้เป็นผลมาจากมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตยาเส้นจาก 0.005 บาทต่อกรัม เป็น 0.1 บาทต่อกรัม หรือเพิ่มขึ้น 19 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคายาเส้นที่เดิมขายปลีกราคา 10-15 บาท (ขนาดซองละ 20-30 กรัม) ปรับขึ้นซองละ 2-3 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 8 พ.ค. ที่ผ่านมา
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่ 10.7 ล้านคนทั่วประเทศ คิดเป็นผู้สูบบุหรี่โรงงานประมาณ 50% ในขณะที่อีกกว่าครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 5 ล้านคนสูบยาเส้นมวนเอง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากมีราคาขายต่ำมาก ขายกันทั่วไปซองละ 10-20 บาทเท่านั้น ทั้งๆ ที่มีอันตรายต่อสุขภาพไม่น้อยไปกว่าบุหรี่ที่ผลิตจากโรงงานเลย และทั้งบุหรี่และยาเส้นต่างก็เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยและเสียชีวิต
ในขณะที่รณรงค์ต่อต้านบุหรี่ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลดนักสูบหน้าใหม่พุ่งเป้าไปที่การควบคุมบุหรี่ซิกาแรต เช่น ห้ามจำหน่ายบุหรี่ให้แก่ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามแบ่งจำหน่ายบุหรี่มวน ห้ามการใช้สีสัน ลวดลายสวยงามหรือเครื่องหมายการค้าบนซองบุหรี่ รวมไปถึงการขึ้นภาษีบุหรี่ในทุก 2-3 ปี ในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นมาตรการช่วยลดแรงจูงใจในการสูบบุหรี่ของสิงห์อมควัน
ภาษียาเส้นกลับไม่เคยปรับขึ้นเลยมาเป็นเวลา 40 ปี แต่เมื่อมีการขึ้นภาษีบุหรี่มวน ส่งผลให้บุหรี่ราคาแพงขึ้น ผู้สูบบุหรี่จึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปสูบยาเส้นมวนเองมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตในประเทศ เช่น การยาสูบแห่งประเทศไทย และผู้นำเข้าบุหรี่ สบช่องในการขยายตลาดโดยรุกเข้าตลาดยาเส้น เพราะขนาดตลาดที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในระยะเวลาเพียง 1 ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลจึงมีความจำเป็นจะต้องปรับขึ้นภาษียาเส้น เพื่อให้ควบคุมการขยายตัวอย่างรวดเร็วของผู้บริโภคยาเส้น เป็นไปตามหลักสุขภาพ ที่ไม่ว่าบุหรี่หรือยาเส้นก็อันตรายเหมือนกันก็ควรคิดเสียภาษีในระดับที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ต่างกันราวกับฟ้ากับดินจนส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคยาสูบที่เมื่อบุหรี่แพงขึ้นก็หันมาสูบยาเส้นซึ่งเป็นสินค้าทดแทนที่มีราคาถูกกว่ามาก โดยการขึ้นภาษียาเส้นคราวนี้จะช่วยลดช่องว่างของราคาขายปลีกบุหรี่ซิกาแรตและราคายาเส้นให้มีความใกล้เคียงกันมากขึ้น จากเดิมประมาณกว่า 350 เท่า เหลือประมาณ 17 เท่า
ถือเป็นอีกหนึ่งความพยายามของรัฐบาลในการเพิ่มความเข้มงวดการควบคุมการบริโภคยาสูบที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขระดับโลก เช่น สำนักงานผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ที่ออกมาประสานเสียงยืนยันว่าการเพิ่มภาษียาเส้นจะมีส่วนช่วยลดปริมาณการบริโภคยาสูบได้
อย่างไรก็ตาม ความเดือดร้อนของเกษตรกรเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไข เพราะตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีการขึ้นภาษียาเส้นมาก่อน ชาวไร่และผู้ประกอบการอาจจะยังปรับตัวไม่ทัน รัฐบาลควรพิจารณาออกมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะสั้นก็ได้ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น และควรมีแผนระยะยาวสำหรับการขึ้นภาษียาเส้นอย่างต่อเนื่อง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี