เมื่อบทความนี้ปรากฏแก่สาธารณชน ผลการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็คงจบลงตามความปรารถนาของพรรค
พลังประชารัฐ แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่บ้าง แต่ก็คงจะผ่านพ้นไปในที่สุด ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
ที่ตั้งหัวข้อว่า “ฟาร์มสัตว์ในเวทีการเมือง” ก็เพราะหนังสือแปลจาก “Animal Farm” กำลังดังในขอบฟ้าการเมืองของสังคมไทย แต่ในความเข้าใจของผู้เขียน มีความเชื่อในข้อสมมติฐานนี้มานานปี ตลอดจนบทความและแนวคิดที่พยายามจะเผยแพร่มาเป็นเวลาหลายปี ก็อยู่บนข้อสมมติฐานนี้ตลอดเวลา หนังสือ “Animal Farm” เป็นหนังสือที่ในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของอังกฤษจะกำหนดให้นักเรียนได้อ่าน และผู้เขียนก็อ่านสมัยนั้น และเกือบจะลืมเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ยกเว้นวัตถุประสงค์ของหนังสือ
ผู้เขียนจึงสนใจเป็นพิเศษที่จะให้การศึกษาอบรมเยาวชนทางด้านสังคมการเมืองผ่านวรรณกรรม เช่น ของเช็คสเปียร์
หรือวรรณกรรมไทย เช่น เมืองนิมิตร สภาการศึกษาก็มีโครงการสร้างวัฒนธรรมพลเมือง (เพื่อสังคมประชาธิปไตย) เกิดขึ้น (ถ้าจำไม่ผิด) สมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และคุณอภิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม การให้การศึกษาเรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ยากและละเอียดอ่อน ครูจะสามารถเป็นผู้นำการเรียนการสอนในขอบเขตกว้างๆ เช่น สอนเรื่อง “อำนาจ ทำให้คนเสื่อม” แต่จะยกตัวอย่างได้แค่ไหน ก็สุดแต่กุศโลบาย-วิธีการสอนของครูแต่ละคน เผอิญสังคมไทยก็ไม่ชอบเขียนประวัตินักการเมือง ก็เลยหาตัวอย่างประกอบยาก นานๆ จึงจะได้เห็นหนังสือ เช่น “٢٤٧٥ : เส้นทางคนแพ้” โดย บัญชร ชวาลศิลป์ ซึ่งเป็นหนังสือที่เล่าเรื่อง “٤ ทหารเสือ” ที่ก่อการปฏิวัติ พ.ศ. ٢٤٧٥ ผู้ที่อ่านเรื่อง “Animal Farm” แล้ว หากอ่าน “٢٤٧٥ : เส้นทางคนแพ้” จะทราบแก่นแท้ของการเมืองที่มีการดิ้นรนต่อสู้เพื่ออำนาจเป็นศูนย์กลาง
เราควรจะจัดการอย่างไรกับปัญหาดังกล่าว? ชาวตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา ไม่ไว้วางใจเรื่องคน จึงสร้างระบบการคานอำนาจไว้ทั่วไป เช่น สร้างระบบวุฒิสภาให้คอยตรวจสอบการใช้อำนาจของประธานาธิบดี สร้างระบบตุลาการเพื่อตรวจสอบการออกกฎหมายของสภาคองเกรส เป็นต้น
ระบบอังกฤษ เดิมที หรือภายหลังการปฏิวัติที่รุ่งโรจน์ ค.ศ. ١٦٨٨ กษัตริย์ทรงมีอำนาจในการแต่งตั้ง “นายกรัฐมนตรี” หรือมหาเสนาบดี และรัฐมนตรีต่างๆ ตามพระทัยของพระองค์ ยังไม่มีระบบพรรคการเมืองในรัฐสภาที่แท้จริง ขุนนางที่นั่งอยู่ในสภาขุนนางอาจมีกลุ่มทอรี และกลุ่มวิกส์แต่ก็เล่นบทบาทการเมืองแบบ “ออมชอม” หรือแบบประนีประนอม ขณะที่
ผู้แทนราษฎรในสภาล่าง (House of Commons) จะประกอบด้วยกลุ่มอิสระ (เรียกว่า “independent countrymen”) หรือกลุ่มผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นอิสระ ไม่สังกัดทั้งพรรควิกส์ หรือพรรคทอรี
ฉะนั้น การเมืองในรัฐสภาจึงรวมตัวกันอย่างหลวมๆ นายกรัฐมนตรีอาจมาจากกลุ่มทอรี หรือกลุ่มวิกส์ (ส่วนใหญ่คือขุนนางในสภาขุนนาง) ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง แต่ผู้สนับสนุนในสภาผู้แทน และวุฒิสภาอาจประกอบด้วยหลายกลุ่ม ทั้งวิกส์ และทอรี และ สส. กลุ่มอิสระ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ “บารมี” ของท่านนายกรัฐมนตรี เช่น วิลเลียม พิท (William Pitt)
สมัยพระเจ้ายอร์จ ที่ ٣ สามารถอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่น้อยกว่า ٢٠ ปี
ในระบบรัฐสภาดังกล่าว ยังไม่มี “ฝ่ายค้าน” ที่เป็นทางการ หรือที่เรียกว่า ฝ่ายค้านในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กลับมาพิจารณากรณีของการเมืองไทย มีข้อเสนอให้พรรคประชาธิปัตย์ วางตัวเป็นกลาง ระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายค้าน และเรียกว่า “ฝ่ายค้านอิสระ” จึงเป็นแนวคิดใหม่ ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไร เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้ แต่บทบาทนี้สังคมไทยยังไม่คุ้น และคงมีผู้คนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ที่ไม่เห็นด้วยก็จะตำหนิว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะ “เอาตัวรอด” กระนั้นหรือ? ฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์จึงควรชี้แจงว่า แนวทางของพรรคในสภา ควรจะเป็นเช่นไร จะสนับสนุนรัฐบาล (พรรคพลังประชารัฐ) ในกรณีไหน จะไม่สนับสนุนในกรณีไหน?
หรือทางเลือกที่พรรคพลังประชารัฐและผู้แทนจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เจรจากันไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังขมวดปม
เรื่องตำแหน่งไม่ลงตัว ก็ควรเจรจากันต่อไป เพราะการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพจะมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และการพัฒนาบ้านเมือง และเราทุกคนก็รักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน เรื่องการทำงาน/รับผิดชอบในหน้าที่การงาน น่าจะออมชอมกันได้
สำหรับตัวนายกรัฐมนตรี ก็มีข้อกล่าวหาจากกลุ่มต่อต้านว่า “สืบทอดอำนาจ” การสืบทอดอำนาจ อาจมีทั้งแง่ดี แง่ร้ายหากรับได้ เมื่อ ٥ ปีที่ผ่านมา ในอีก ٥ ปีข้างหน้า ซึ่งบรรยากาศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม และต้องไม่ลืมว่า ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่ในบัญชีพรรคการเมือง ซึ่งลงหาเสียงเลือกตั้งเช่นเดียวกับพรรคอื่นๆ และได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนเกินแปดล้านเสียง และท่านจะไม่เคารพเสียงประชาชนบ้างหรือ?
การที่ประชาชนลงคะแนนให้นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากเป็นอันดับหนึ่ง ก็คงจะมีเหตุผล มองจากสายตาของชาวบ้าน ความสงบเรียบร้อยในสังคมคือปัจจัยสำคัญที่สุด รวมทั้งโครงการประชารัฐทั้งหลายที่ชาวชนบทและประชาชนสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ รวมทั้งความซื่อสัตย์สุจริต ในส่วนตัวของท่าน ซึ่งหากได้ที่ปรึกษาที่ดีและสุจริตใจ และมีระบบรัฐสภาคอยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของรัฐ ก็อาจจะเห็นความกระฉับกระเฉงมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม กรณีของพรรคประชาธิปัตย์ จะตัดสินใจอย่างไร ก็เป็นเอกสิทธิ์ แต่ควรตัดสินใจอย่างมีเอกภาพ หรืออย่างน้อยต้องไม่เกิดกรณีแตกแยก แตกสามัคคี จะคิดเห็นต่างในที่ประชุมเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเสียงส่วนใหญ่ลงคะแนนอย่างไร ก็จะต้องยอมรับมติเช่นนั้น มิควรที่จะเป็นเหตุนำไปสู่ความแตกแยก ให้พรรคอื่นๆ เขายิ้มเยาะสะใจในความไร้เดียงสาของพวกเรา
หมายเหตุ : หลังจากจบบทความนี้แล้ว จึงได้ทราบความเคลื่อนไหวต่อมาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะลงคะแนนสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ประกาศลาออกจากสมาชิกพรรค จึงทั้งชื่นชมการตัดสินใจและรู้สึกเสียดายบุคคลที่เป็นทรัพยากรที่สำคัญของชาติ
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี