นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดี สำนักงานอัยการสูงสุด แสดงความคิดเห็นต่อกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ตลอดจนด่าทอ ช่อ-นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ว่า
“ตอนเราเด็ก เราก็คิดอย่างเด็ก พอเราโตเราคิดอย่างผู้ใหญ่ ทำไมต้องถอยหลังไปเล่นงานตอนเขาเป็นเด็กเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เพื่ออะไร?”
ผมเคยแสดงความคิดเห็นไว้หลายครั้งว่า บุคลากรในสถาบันตุลาการที่ยังทำงานอยู่ ไม่พึงออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรแบบนี้ ควรไปมีความเห็น “ในกระบวนการ” ของคุณมากกว่า และคุณปรเมศวร์ก็มักแสดงความเห็นในหลายกรณีที่ทำให้คนในสังคมไม่ค่อยแน่ใจว่า “บุคลากรในสถาบันตุลาการ” มี “ดุลพินิจ” ที่สังคม “ฝากความหวัง” ให้ทำหน้าที่ “ตัดสิน-พิพากษา” ได้อย่างเที่ยงธรรมจริงหรือไม่ ในเรื่องนี้ก็ให้ผู้คนเขาวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไป ว่าความเห็นของคุณปรเมศวร์ใช้ได้หรือ “ใช้ไม่ได้”
แต่ประเด็นหลักของบทความนี้คือการพูดถึงการ “แก้ตัว” หลังมีภาพช่อกับเพื่อนๆ นำพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 และตราสัญลักษณ์ ตลอดจนพระปรมาภิไธยย่อ ฯลฯ ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ไปประกอบการถ่ายภาพของเธอ ด้วยกิริยาที่ไม่เหมาะสม ด้วยถ้อยคำที่ต้อง “ตีความ”
วันที่ 9 มิ.ย. 2562 น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว Pannika Chor Wanich ชี้แจงถึงกรณีที่ปรากฏภาพงานรับปริญญาของเจ้าตัว ก่อนถูกนำไปโยงกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และถูกโจมตีอย่างรุนแรงในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ ว่า
“ทำไมภาพนั้น “ไม่ควรมีคำบรรยาย” ?
เมื่อวานมีเพจเฟซบุ๊คที่ทำงานปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารทางจิตวิทยา (หรือที่เรียกกันว่า เพจ IO) ให้แก่ คสช. กับสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง นำภาพที่ช่อถ่ายเล่นๆ กับเพื่อนในช่วงรับปริญญาที่จุฬาเมื่อปี 2553 มาโจมตีช่ออย่างรุนแรงโดยพยายามเชื่อมโยงกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์
ช่อขออธิบายดังนี้ว่า ตอนนั้นเป็นยุคหลังรัฐประหาร 2549 และมีกระแสการกล่าวหาผู้คนว่าไม่จงรักภักดีเกิดขึ้นไปทั่วทั้งในโลกอินเตอร์เนตและในโลกแห่งความเป็นจริง ช่อกับเพื่อนๆ เติบโตมาในบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้
พวกเราในฐานะนักเรียนรัฐศาสตร์ ก็เฝ้าติดตามปรากฏการณ์เหล่านี้ด้วยความกังวลอย่างมาก บ่อยครั้งการนำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้โจมตีทางการเมือง แบ่งฝักฝ่ายในหมู่ประชาชนให้เกลียดชังกัน หรือบานปลายไปถึงขั้นล่าแม่มดกัน ก็กลายเป็นความขื่นขันตลกร้าย
หลังรัฐประหาร 2549 เป็นเรื่องง่ายมากที่คนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี และเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดการใครให้ติดคุกเพียงมีคน
ชี้หน้าเขาว่าไม่จงรักภักดี
การสร้างความเกลียดชังแบบนี้ก่อให้เกิดคำถามมากมายในหัวของคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เติบโตมาในยุคหลังรัฐประหาร กระทั่งบางครั้งกลายเป็นสิ่งที่เรานำมาคุยล้อกันเพื่อสะท้อนความขื่นขันในโศกนาฏกรรมทางการเมืองของไทย
นี่คือ “ข้างหลังภาพ” ที่บอกว่า “ไม่ควรมีคำบรรยาย”
เราจะบรรยายอย่างไรได้บ้างในยุคสมัยที่วันหนึ่งอาจมีคนมาชี้หน้ากล่าวหาว่าคุณมันไม่จงรักภักดี และดังนั้น คุณต้องติดคุกหรือออกจากประเทศนี้ไป
ช่อยอมรับว่าภาพการประชดล้อเลียนกระแสความเกลียดชังจากการล่าแม่มดของนิสิตนักศึกษาจำนวนมาก รวมถึงภาพๆ นี้ ดูไม่เหมาะสม และต้องขออภัยอย่างสูงต่อประชาชนที่เห็นภาพนี้แล้วเกิดความไม่สบายใจ
แต่สิ่งที่ช่ออยากให้ทุกท่านตระหนักเช่นกัน คือสังคมการเมืองไทยกำลังทำให้คนหนุ่มสาวในรอบสิบกว่าปีมานี้เติบโตมาพร้อมคำถามมากมายกับการใช้สถาบัน
พระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือทางการเมืองทำลายล้างกัน
ช่อและเพื่อนๆ เชื่อในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พวกเราอยากเห็นระบบรัฐสภาที่ยึดโยงกับเสียงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีสถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่กับระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคง ไม่ใช่การเมืองที่แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้รัฐประหารและทำลายล้างคู่แข่งทางการเมืองกันบ่อยครั้ง
วันนี้ช่อไม่ใช่นิสิตแล้ว แต่เป็นนักการเมือง เวลาผ่านไปเกือบทศวรรษ ทว่าสภาพการเมืองไทยก็แทบไม่เปลี่ยนไปเลย
ขอร้องเถอะค่ะ ว่าอย่านำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีกันทางการเมืองอีกเลย รวมถึงขอร้องให้ผู้ที่ตามขุดคุ้ยเพื่อนของช่อทุกคนในรูป ยุติการกระทำดังกล่าว อย่าให้พวกเขาเดือดร้อนเพียงเพราะเป็นเพื่อนของนักการเมืองคนหนึ่ง
คำขอร้องนี้ไม่ใช่เพื่อตัวช่อเอง แต่เพื่ออนาคตที่มั่นคงยั่งยืนของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งหลายคนมักนำสถานะของสถาบันฯ มา
รับใช้ตัวเอง เพียงเพื่อหวังทำลายล้างศัตรูทางการเมืองของตน โดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางการเมืองที่ต้องสูญเสียไป”
ขออธิบายดังนี้นะครับ
1) อย่าตะแบงเลยครับช่อ การอ้างว่าหลังการรัฐประหารปี 2549 มีกระแสการกล่าวหาคนไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่อไม่เห็นด้วย ไม่ควรนำสถาบันมาเป็นเครื่องมือ
เล่นงานกันทางการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นไม่ได้เป็น “ความชอบธรรมใดๆ” ที่ช่อกับเพื่อนจะเอาพระบรมฉายาลักษณ์และสัญลักษณ์ต่างๆ มาล้อเล่น มาแสดงกิริยาดังปรากฏในภาพ เข้าใจไหมเธอ?
2) ก่อนและหลังการรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา ถ้าไม่หูหนวกตาบอด หรือใจปิด ก็จะเห็นว่า การชุมนุมหลายครั้ง โดยเฉพาะของฝ่าย นปช. มีการจาบจ้าง กล่าวหาสถาบันทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เกิดวาทกรรมไพร่อำมาตย์ เกิดคำพูดของ ก่อแก้ว พิกุลทอง เรื่อง รูปที่มีทุกบ้าน ฯลฯ ช่อก็ไม่เคยตำหนิ ว่า อย่าเอาสถาบันมาสร้างเงื่อนไข เฉพาะในการรัฐประหารของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน มีการอ้างถึงสาเหตุเรื่องการจาบจ้วงสถาบันอยู่จริง แต่เป็นข้อท้ายๆ ไม่ใช่ข้อหลัก ข้อหลักๆ คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่อควร “รู้สึก” ก่อนเรื่องใดๆ
3) ที่เธอบอกว่า “...การสร้างความเกลียดชังแบบนี้ก่อให้เกิดคำถามมากมายในหัวของคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เติบโตมาในยุคหลังรัฐประหาร กระทั่งบางครั้งกลายเป็นสิ่งที่เรานำมาคุยล้อกันเพื่อสะท้อนความขื่นขันในโศกนาฏกรรมทางการเมืองของไทย...” ผมก็มีลูกศิษย์มากมายที่อยู่ในวัยนั้น แต่ไม่เห็นเขามีสันดานและการกระทำเยี่ยงช่อและเพื่อนๆ การจะวิจารณ์เรื่องดึงสถาบันมาใช้ในทางการเมืองนั้นทำได้ และควรทำ ผมเองก็ย้ำเตือนอยู่เสมอว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ไม่ควรมีใครใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัว แต่จำเป็นไหม ที่ต้องนำพระบรมฉายาลักษณ์และสัญลักษณ์อื่นๆ มาประกอบการสื่อสารในเรื่องนี้
4) ที่เธอบอกว่า “...ขอร้องให้ผู้ที่ตามขุดคุ้ยเพื่อนของช่อทุกคนในรูป ยุติการกระทำดังกล่าว อย่าให้พวกเขาเดือดร้อนเพียงเพราะเป็นเพื่อนของนักการเมืองคนหนึ่ง...” ก็ไม่ใช่อีก เขาไม่ได้ตามขุดคุ้ยหาตัวคนเหล่านั้นในฐานะที่เป็น “เพื่อนของนักการเมือง” แต่เขาหาตัวในฐานะ “ผู้ร่วมกระทำ” ไม่งงนะ ช่อนะ
5) ถึง “ช่อ” และ “พ่อ” ของเธอ
ฉันเข้าใจเธอนะ เธอคือมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีสิทธิจะคิด มีสิทธิจะรัก มีสิทธิจะเลือก ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิด รัก และเลือก เหมือนที่ฉันหรือคนอื่นๆ คิด แต่สิ่งที่เธอกับพ่อของเธอต้องรู้คิดก็คือ บนความไม่เหมือนกันนั้น มัน “เคารพ” กันได้
“พ่อของแผ่นดิน” ไม่ควรเป็นเรื่องสนุกของเธอและพ่อของเธอ เหมือนที่ “พ่อของเธอ” ก็ไม่ใช่เรื่องสนุกของฉัน ฉันเคารพและเทิดทูน “ในหลวง” ของฉัน เพราะสิ่งที่ท่าน “ทรงทำ” ไม่ใช่ฐานันดรศักดิ์ที่ท่าน “ทรงมี”
ตาของฉันไม่บอด ใจของฉันไม่ปิด ฉันมีชีวิตบนแผ่นดินที่รู้และเห็น ว่าท่านทรงทำนุบำรุง ช่วยเหลือ และห่วงใยอย่างไร แม้โลกทั้งโลกยังประจักษ์ นำองค์ความรู้จากภูมิปัญญาของ “ในหลวงของฉัน” ไปใช้ดับทุกข์ให้ประชาชนในหลายประเทศ
ไม่มีใครสอนเธอใช่ไหม ไม่มีใครบอกเธอใช่ไหม เธอโตมากับเสื้อที่มีตราค้อน-เคียว ของพ่อของเธอเท่านั้นใช่ไหม
ฉันสงสารเธอ เธอมีพ่อแบบนั้น เธอโตมากับโลกใบนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอต้องอยู่ในโลกใบเดียวกับฉัน และคนอื่นๆ เธอต้องเดินออกจาก “โลกที่พ่อของเธอสร้างให้” แล้วฝึกนิสัย สันดาน การวางตัว ที่จะอยู่ร่วมโลกกับคนอื่นๆ เขา อย่างที่มนุษย์อยู่กับมนุษย์ที่แตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่เหมือนที่อยู่กับพ่อของเธอ เพราะโลกใบนี้ ประเทศนี้ ไม่ใช่ใบที่พ่อเธอสร้าง และบอกกับเธอ
หากไม่เคยมีใครเอารูปพ่อของเธอ มาถือ มาชี้หน้า มาล้อเลียน ให้ตลกขบขัน เธออย่าทำเช่นนั้นกับ “ในหลวงของฉัน” เข้าใจไหมเธอ
หากเธอหมกมุ่นกับเรื่องสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม เธอเรียกร้องการยอมรับและเคารพกัน แม้คิดต่างกัน
เธอได้ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ด้วยสิ่งนั้น ดีพอหรือยัง หรือแค่พูดไปให้สวยงาม แต่ไม่เคยนำมาปฏิบัติกับคนอื่นๆ เลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี