การประชุมอาเซียนที่เพิ่งจบไปน่าจะเป็นเครื่องบ่งบอกแล้วว่า สถานะของประเทศไทยซึ่งมีนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งคนแรกในรอบ 5 ปี ในสายตาต่างชาติน่าจะกลับมาเป็นที่ยอมรับอีกครั้ง สังเกตจากการประชุมผู้นำอาเซียนทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี ก็พอจะประเมินได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้นำหลากประเทศ รวมถึงภาพรวมการจัดงานที่คราวนี้ ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุมได้อย่างลุล่วงไปด้วยดีต่างจากการประชุมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเผชิญความอลหม่านจากวิกฤติชุมนุม ทั้งหมดนี้จึงทำให้หลายฝ่ายคาดว่า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลกหลังจากนี้ไปคงจะไม่น่าเป็นห่วงมากนัก
อย่างไรก็ตาม หากมองกลับมาที่สถานการณ์ภายในประเทศ ก็คงต้องบอกว่ามีอุปสรรคอีกหลายเรื่องในการสร้างการยอมรับให้กับประชาชนทุกภาคส่วน ด้วยคะแนนเสียงที่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านถืออยู่พอๆ กัน ก็เป็นตัวบ่งบอกว่า เกมการเมืองหลังจากนี้อาจมีสิ่งที่ฝ่ายรัฐบาลต้องเตรียมรับมือ ทั้งภายในสภาฯและอย่าได้ประมาทเกมนอกสภาฯ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาฯ และนอกสภาฯ หลังจากนี้ จะกลายเป็นเรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลต้องเตรียมรับมือให้ดี
กลไกการควบคุมสภาฯ ของรัฐสภา มีทั้งกลไกของสภาร่วม และกลไกของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกลไกของสภาร่วมนั้น ไม่น่าเป็นห่วงนักในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากมี สว. 250 คน คอยสนับสนุนอยู่ แต่กลไกที่ต้องดำเนินการผ่านสภาผู้แทนฯ ก็ยังมีเครื่องมืออีกหลายอย่างที่จะเขย่ารัฐบาลได้ อาทิ การตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การผ่านพระราชบัญญัติต่างๆ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ถูกคาดว่าจะเป็นเป้าหมายในการเดินเกมทางการเมืองของฝ่ายค้านก็คือ การผ่าน พ.ร.บ. งบประมาณ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่นั่นก็ยังไม่เร่งด่วนเท่าการแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนฯ โดยเฉพาะสถานการณ์ล่าสุดที่พรรคร่วมรัฐบาล 1 พรรค พร้อมแยกตัวออกจากรัฐบาล นั่นก็คือพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ของนายดำรงค์ พิเดช ที่ประกาศจุดยืนขอเป็นพรรคการเมืองประจำสภาฯ แทน หากไม่ได้ทำงานด้านป่าไม้และสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้จะเป็นพรรคร่วมที่มีเสียง สส. เพียง 2 เสียง แต่กล่าวคำขู่เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคร่วมรัฐบาล ที่พร้อมแตกแยกได้เสมอหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม กระบวนการควบคุม สส. ในสภาผู้แทนฯ ก็ยังไม่จบสิ้น เนื่องจากอาจจะมีการลาออกของ สส. บัญชีรายชื่อของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่จะขยับไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีและขยับคนอื่นขึ้นมา ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้เกิดทั้งอุปสรรค หรืออาจจะเป็นโอกาสก็ได้ อีกประเด็นหนึ่งที่ควรพิจารณาคือเรื่อง สส. ที่มีความผิดเกี่ยวกับการถือหุ้น กลุ่มแรกก็คือ กรณีนายธนาธร และผู้เกี่ยวข้องชุดเดิมที่ กกต.เคยพูดถึงอย่าง ผู้สมัคร สส. พรรคประชาธิปัตย์ที่โดนตัดสิทธิ์ไปตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง กลุ่มที่สองคือ กลุ่ม สส. พรรคฝ่ายรัฐบาลที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นทั้งหมด 41 คน และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่ม สส. พรรคฝ่ายค้านที่มีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สส. บัญชีรายชื่อ ของพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นตัวตั้งตัวตี เตรียมยื่นเรื่องต่อรัฐสภา ซึ่งคาดว่ามีสส. มากถึง 55 คน ที่มีรายชื่อในส่วนนี้ ซึ่งปมการถือหุ้นดังกล่าวยังฟุ้งตลบไปถึง สว. ด้วย เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ และอดีต สว. ได้ยื่นเรื่องแก่ กกต. ถึงการพิจารณาคุณสมบัติ สว. จำนวน 21 คน ที่อาจเข้าข่ายการถือหุ้นสื่อ ซึ่งสุดท้ายปมดังกล่าวก็เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยไปทิศทางไหน? เพราะศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นศาลที่มีตุลาการมาจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการรัฐศาสตร์ นักบริหาร และนักกฎหมาย
ดังนั้นผลการวินิจฉัยคงต้องเปรียบเทียบดูทุกๆ ด้าน ซึ่งผลการพิจารณาเรื่องดังกล่าวไม่ว่าจะตัดสินก่อนหรือหลังกิจกรรมทางการเมืองของสภาฯ ก็ย่อมมีผลต่อเสียงในสภาฯ ซึ่งเหตุดังกล่าวจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ตั้งครม. เพื่อรอการจัดการปัญหาพัวพันให้เรียบร้อยก่อนหรือไม่?
นอกจากการรับมือการเมืองในสภาฯ ของรัฐบาล ประเด็นด้านการเมืองนอกสภาฯ ก็ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่หลายคนคาดว่าฝ่ายค้านจะนำมาใช้ ซึ่งขณะนี้ยังคงแบ่งเป็น 2 รูปแบบ รูปแบบแรก เป็นการดำเนินการโดยพรรคฝ่ายค้านเอง อย่างการใช้วิธีการเดินสายรณรงค์จุดกระแสโจมตีรัฐบาลในแง่มุมต่างๆ ลักษณะเดียวกับที่พรรคอนาคตใหม่กำลังผลักดันอยู่หรือไม่? ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ พรรคฝ่ายค้านไม่ได้ริเริ่มด้วยตัวเอง แต่อาศัยแรงขับเคลื่อนจากภาคประชาสังคมเป็นตัวจุดประเด็นซึ่งเริ่มปรากฏออกมาบ้างแล้ว อย่างกรณีการเดินเท้ายื่นรายชื่อเพื่อยกเลิกคำสั่ง คสช. ซึ่งต่อมาก็ได้การสนับสนุนจากฝ่ายค้านในสภาฯ ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ทั้งนี้ก็มีการคาดการณ์ว่า ในอนาคตอันใกล้การเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวอาจมีความชัดเจนและยกระดับขึ้นเมื่อมีการปลดล็อกทางการเมืองอย่างสมบูรณ์หลังการสิ้นสภาพของอำนาจตามมาตรา 44
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายก็ยังประเมินว่า การเคลื่อนไหวในภาคประชาชนคงไม่อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อสถานะรัฐบาลได้เหมือนในอดีต ที่มีการระดมมวลชนขนาดใหญ่ได้ ด้วยสาเหตุมาจากทั้งบริบทการเมืองในปัจจุบันที่ยังคงไร้วี่แววจะเกิดชนวนซึ่งเป็นเหตุอันควรให้มีการปลุกผู้ชุมนุม ผนวกกับสถานภาพของรัฐบาลชุดนี้ที่นายกรัฐมนตรีมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกองทัพ ก็คงทำให้รัฐบาลชุดนี้มีความเข้มแข็งและไม่อ่อนไหวต่อการชุมนุมดังเช่นรัฐบาลในอดีต ขณะที่อดีตแกนนำผู้ชุมนุมในอดีตก็นับว่ามีบทบาทน้อยลงไปมาก อาจจะด้วยเหตุที่แต่ละคนก็มีคดีพัวพันซึ่งน่าจะมีผลให้แกนนำหลายคนไม่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งเหมือนแต่ก่อน หรือแม้กระทั่งบางส่วนของแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ก็ย้ายมาลง สส. หรือร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับฝั่งซีกรัฐบาล
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจับตาคือ ความเปลี่ยนแปลงภายในของสองพรรคใหญ่ ทั้งพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ที่กำลังมีการเลือกตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ สำหรับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งในขณะนี้หลายกระแสข่าวเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคเอง ผนวกกับที่อาจจะได้มือเจรจาชั้นดีซึ่งเป็นสายตรงของพล.อ.ประยุทธ์อย่างนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ มาเป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งคาดว่าน่าจะส่งผลดีในแง่การลดอุปสรรคในการต่อรองภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีหลายกลุ่มหลายมุ้งจนทำให้การเจรจาโควตารัฐมนตรีในพรรคทำได้อย่างยากลำบาก ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นเช่นนั้นหลายคนเชื่อว่ามาจากตัวหัวหน้าพรรคอย่างนายอุตตมที่ไม่มีอำนาจและอิทธิพลถึงขั้นชี้ขาดมติพรรคได้ ผนวกกับสถานะของพล.อ.ประยุทธ์ ที่แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังเป็นบุคคลนอกพรรคในการจัดเก้าอี้ ครม. หนนี้ จึงมีบทบาทแค่การพิจารณาและตัดสินใจจากรายชื่อที่ถูกส่งมา
ดังนั้น หลายคนจึงเชื่อว่าการเข้ามาของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่สมาชิกพรรคเคารพยำเกรงและนายณัฏฐพล ซึ่งน่าจะเป็นมือเจรจาในพรรคที่ดีกว่ากลุ่มสามมิตร น่าจะช่วยเติมเต็มช่องโหว่ ทั้งเรื่องความขัดแย้งในพรรค และก็อาจจะทำให้ความขัดแย้งในพรรคทุเลาลง ผนวกกับยังช่วยแก้ปัญหาในการจัด ครม. รอบต่อไป ซึ่งถ้าหากพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค ก็อาจจะมีแนวโน้มว่าในไม่ช้าอาจจะมีการปรับ ครม. ภายในโควตาพรรคพลังประชารัฐก็เป็นได้
การเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยเองก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเช่นกัน เพราะนอกจากจะส่งผลต่อการบริหารภายในพรรคแล้ว ยังจะส่งผลไปถึงเกมการเมืองในสภาฯ หลังจากนี้ที่จะมีการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยต้องมารับตำแหน่ง ทั้งนี้ ความท้าทายสำคัญที่หลายฝ่ายคาดว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ต้องเตรียมรับมือมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ การฟื้นฟูความเป็นเอกภาพในพรรค ซึ่งได้ลดทอนลงไปหลังพรรคเผชิญกับวิกฤติศรัทธาในตัวผู้นำศึกเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอย่างคุณหญิงสุดารัตน์หรือไม่? จนมีกระแสข่าวการปั้นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อชิงตำแหน่งกันเอง ซึ่งดูจะเป็นกรณีปกติหากเป็นพรรคการเมืองทั่วไป แต่ไม่ปกตินักสำหรับพรรคเพื่อไทย? ที่หลายคนมองว่า ตำแหน่งหัวหน้าพรรคแต่ละครั้งมาจากการชี้ขาดโดยอำนาจเหนือพรรคหรือไม่? ส่วนเรื่องต่อมาที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ในฐานะว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านต้องรับมือให้ได้คือการดำเนินบทบาทร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งก็มีอยู่ถึง 7 พรรค การกำหนดทิศทางและการวางเกมในสภาฯ ซึ่งต้องอาศัยทิศทางร่วมกันเพื่อให้ฝ่ายค้านมีความเข้มแข็งก็นับว่าเป็นเรื่องท้าทายซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวในอนาคต นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเมืองนอกสภาฯ ที่หัวเรือคนใหม่ของพรรคเพื่อไทย จะดึงบทนำออกมาจากพรรคอนาคตใหม่ได้หรือไม่?
“…ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ ก็สมควรยิ้มออก ขอเพียงยังสามารถยิ้มออก ก็สมควรยิ้มให้มากไว้...”
โกวเล้ง จากเรื่อง ดาบมรกต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี