เป็นที่ฮือฮาที่สุดในย่านภาคใต้ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คงจะไม่มีใครเกินผลงานเอกอุ มาสเตอร์พีซ ได้แก่ การโค่นผู้สมัครระดับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในถิ่นเมืองพัทลุง
พาพรรคภูมิใจไทยปักธง ยึดเก้าอี้ สส.ภาคใต้ได้เป็นครั้งแรก
แล้วไม่ใช่แค่เก้าอี้เดียว เฉพาะที่จังหวัดพัทลุงก็พาเหรดเข้าป้ายถึง 2 คน ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายภูมิศิษฏ์ คงมี และเขตเลือกตั้งที่ 2 นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ จากพรรคภูมิใจไทย ที่เขี่ยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต สส.หลายสมัยที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะสอบตก
ทั้งหมดนี้ ภายใต้การกำกับการสร้างของ “นางนาที รัชกิจประการ” สส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้ดูแลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพาทัพภูมิใจไทย กวาดเก้าอี้สส.ภาคใต้มาถึง 8 คน
1. ปรากฏว่า สส.นาที รัชกิจประการ ต้องลุ้นว่าจะพ้นสมาชิกภาพการเป็น สส.ไปเป็นคนแรกเลยหรือไม่?
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิจารณาคดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้
สืบเนื่องจาก “กรรมเก่า” นั่นก็คือการยื่นบัญชีทรัพย์สินตั้งแต่สมัยที่พ้นจากตำแหน่งการเป็นสส.ในสมัยก่อนโน้น กรณีพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2556 โดยนางนาที ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2557
2. ป.ป.ช. ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม ระบุถึงผลการตรวจสอบ พบว่า นางนาทีไม่แสดงรายการทรัพย์สิน ได้แก่ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของตนเอง ในท้องที่ จ.พัทลุง 2 แปลง มูลค่า 2 ล้านบาท และหนี้สินของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (คู่สมรส) จากการกู้ยืมเงินของบุคคลอื่น และหนี้ตามสัญญาซื้อขายหุ้น จำนวน 93,039,949 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินที่ไม่แสดงจำนวน 95,039,949 บาท
สำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหานางนาที และนางนาทีได้ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาแล้ว สำนักงาน ป.ป.ช. จึงสรุปรายงานผลการตรวจสอบเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาเมื่อเดือน พ.ย. 2561 มีมติเป็นเอกฉันท์ด้วยคะแนน 9 เสียง ชี้ว่า นางนาทีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จึงเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อวินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และขอให้ลงโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ล่าสุด นางนาทีเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า “ดิฉันลืม ลืมจริงๆ ค่ะ เพราะปกติเป็นคนช่วยเหลือคน แต่ก็ไม่รู้สึกกังวลหากศาลตัดสินอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้รับทราบแล้ว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นดุลพินิจของศาล”
3. น่าสนใจว่า ในนัดพิจารณา 9 ก.ค.นี้ นางนาทีจะตัดสินใจต่อสู้คดีอย่างไร?
ที่ผ่านมา คดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ที่ ป.ป.ช.เคยยื่นดำเนินคดีต่อศาลฎีกาฯ นั้น แทบจะไม่มีใครรอดเลยแม้แต่รายเดียว
แต่ส่วนใหญ่ ผู้ถูกกล่าวหามักจะรับสารภาพ ศาลฯ พิพากษาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ส่วนโทษจำคุกก็จะรอลงอาญาไว้ทุกราย (ที่รับสารภาพ)
เพราะฉะนั้น ต้องรอดูว่า นางนาทีจะตัดสินใจต่อสู้คดี หรือจะรับสารภาพ ?
ถ้าสู้คดี ก็มีทั้งโอกาสจะชนะ และแพ้
แต่ถ้ารับสารภาพ คือ ยอมรับผิดแต่โดยดี แม้ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.ไป แต่โทษจำคุกก็อาจรอการลงโทษ (ไม่ติดคุกจริง)
อย่างไรก็ตาม หากรับสารภาพ ตามกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับปัจจุบัน อาจมีผลทำให้นางนาทีจะต้องออกไปคุมเกมการเมืองอยู่นอกสนาม จะเป็นผู้เล่นเองไม่ได้ตลอดชีวิต
เพราะมาตรา 81 กฎหมาย ป.ป.ช.บัญญัติว่า
“ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองประทับฟ้อง ตามมาตรา ๗๗ ให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคําพิพากษา เว้นแต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองมีคําพิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ต้องคําพิพากษานั้นพ้นจากตําแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปีด้วยหรือไม่ก็ได้
ผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าในกรณีใด ผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งทางการเมืองใดๆ”
4. กรณีนี้ จะกระทบถึงการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสามี คือ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (คู่สมรส) หรือไม่? เพราะหนี้สินที่ ป.ป.ช.ชี้ว่าไม่แจ้งนั้น อยู่ในชื่อของนายพิพัฒน์
คำตอบ คือ ไม่น่าจะกระทบ เพราะกรณีนี้ผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกาฯ คือ นางนาที มิใช่ตัวนายพิพัฒน์
คงจำกันได้ ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นของแผ่นดิน ร่ำรวยผิดปกติ เนื่องมาจากการใช้อำนาจหน้าที่นายกฯ เอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ป ในจำนวนนั้น มีทรัพย์สินที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครอบครองอยู่ด้วย เป็นเงินจำนวนกว่า 600 ล้านบาท
แต่ในภายหลัง ยิ่งลักษณ์ ก็สามารถจะมาเป็นถึงนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งๆ ที่ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อตนเคยถูกยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน โดยถือว่าเป็นทรัพย์ของทักษิณ ส่วนตัวของยิ่งลักษณ์ไม่ใช่ผู้ถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์ จึงไม่เข้าข่ายต้องห้ามดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี