รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของท่านประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ในช่วงหนึ่งปีมานี้ และต้องถือว่า
เป็นยุทธศาสตร์หลักของโลกตะวันตก หรือกลุ่มนาโต ในการต่อต้านและเผชิญหน้ากับยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมของกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ อย่างชัดเจนที่สุด
ซึ่งชาวโลกก็ได้ศึกษาทำความเข้าใจตรงกันแล้วว่า ยุทธศาสตร์ของโลกโดยมหาอำนาจตะวันตกนับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง เป็นต้นมา คือ ยุทธศาสตร์ความขัดแย้งและสงคราม ซึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์นี้จะมีการสร้างความขัดแย้งขึ้นในประเทศต่างๆ ทุกภูมิภาคทั่วโลก และยกระดับขึ้นเป็นสงคราม ทั้งระดับสงครามกลางเมืองและสงครามจำกัดเขตระหว่างประเทศ
ทำให้ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และการทหารของมหาอำนาจตะวันตกต้องปรับเปลี่ยนจากเดิมกลายเป็นระบบเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง และการทหารภายใต้ยุทธศาสตร์ความขัดแย้งและสงครามนั้น ซึ่งสอดคล้องกับที่อดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ได้กล่าวไว้ว่าหลายสิบปีมานี้สหรัฐมุ่งแต่ทำสงครามไม่หยุดไม่หย่อน เงินงบประมาณเกือบทั้งหมดใช้ไปในการสร้างความขัดแย้งและสงคราม จึงทำให้สหรัฐล้าหลังลงจนน่าใจหาย
ในขณะเดียวกัน อดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ก็ระบุว่าในห้วงระยะเวลาเดียวกันนั้นจีนกลับทุ่มไปในการพัฒนาบ้านเมืองและขยายเศรษฐกิจการค้าอย่างกว้างขวางทั่วโลก จึงทำให้จีนเจริญเติบโตและผงาดขึ้นอยู่ในแนวหน้าสุดทั้งด้านเศรษฐกิจและการด้านการทหาร
และภายใต้ยุทธศาสตร์ความขัดแย้งและสงครามนั้นก็ได้ทำให้มิตรประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบมากขึ้น ไม่ว่าโดยการแซงก์ชั่นก็ดี โดยการกดดันข่มขู่ก็ดี หรือโดยการสร้างสถานการณ์เพื่อการแบ่งแยกดินแดนก็ดี หรือโดยการก่อการร้ายก็ดี
ประเทศทั้งหลายเหล่านี้เมื่อได้รับความเดือดร้อนเสียหายก็คิดอ่านป้องกันตัวร่วมกัน จึงได้เกิดเป็นองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ ที่ประกอบด้วยประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกทั้งทางทหารและทางเศรษฐกิจเข้าร่วม ประสานงานความร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่น จนทำให้ดุลอำนาจทางทหาร ทางเศรษฐกิจ ทางเทคโนโลยีของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศบนแผ่นดินใหญ่ของโลกตั้งแต่เอเชียถึงยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกาได้พากันเข้าร่วมยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม เพื่อเลือกเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานตามความต้องการของแต่ละประเทศ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของแต่ละประเทศ โดยมีการ
จัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ AIIB ให้เป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนทางการเงินแก่ประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก
ยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม นอกจากเป็นการเชื่อมต่อการพัฒนาร่วมกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันบนพื้นที่แผ่นดินใหญ่ของโลกแล้ว ยังกินพื้นที่ตลอดริมฝั่งทะเลและมหาสมุทรทั้งหลายของโลกด้วย
การเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมทางบกนั้นย่อมกระทบต่อฐานทัพของสหรัฐเกือบ 800 แห่ง ในทุกภูมิภาคของโลก เพราะเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่รักสันติภาพและการพัฒนามากกว่าความขัดแย้งและสงคราม ดังนั้นประเทศบนผืนแผ่นดินใหญ่ของโลกจึงแห่กันเข้าร่วมยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมจนมีจำนวนเกินครึ่งหนึ่งของสมาชิกสหประชาชาติไปแล้ว
และยังมีการเชื่อมต่อเส้นทางสายไหมทางทะเลที่เชื่อมต่อดินแดนริมฝั่งทะเลและมหาสมุทรทั่วโลกด้วย และเป็นที่แน่นอนว่าย่อมกระทบต่อการยึดครองแสนยานุภาพทางทะเลของสหรัฐที่มีมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ดูแลของกองเรือที่ 7 คือ ภาคพื้นแปซิฟิกและในพื้นที่ดูแลของกองเรือที่ 5 ตลอดพื้นที่มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งทั้งสองพื้นที่นี้มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์สำคัญที่จะสกัดหรือป้องกันไม่ให้ประเทศจีนสามารถเชื่อมต่อเส้นทางออกสู่ทะเลและมหาสมุทรได้โดยสะดวก ทั้งภาคพื้นมหาสมุทรแปซิฟิกและภาคพื้นมหาสมุทรอินเดีย
ดังนั้นในส่วนของยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมทางทะเลจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ทำลายการปิดกั้นจีนไม่ให้มีเส้นทางออกสู่ทะเลได้ คือ
ทั้งทะเลเหลือง ทะเลจีนใต้ ทะเลจีนตะวันออก และมหาสมุทรอินเดีย
จึงเป็นเรื่องที่สหรัฐยอมไม่ได้ จึงต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ดั้งเดิมคือ ยุทธศาสตร์เอเชียแปซิฟิก ที่กินรวมพื้นที่แถบประเทศอาเซียนและพื้นที่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ยกระดับขึ้นเป็นยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก หรือนัยหนึ่งก็คือยุทธศาสตร์การปิดล้อมสองมหาสมุทร คือ มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก
ดังนั้นจากรายงานล่าสุดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐในเรื่องยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกจึงได้ระบุอย่างชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือเกรงใจใครว่ายุทธศาสตร์นี้มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือการขัดขวางต่อต้านจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ ไม่ให้แผ่ขยายสิ่งที่เรียกว่า
อิทธิพลมายังมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียได้
ดังนั้นจึงไม่เป็นที่สงสัยใดๆ อีกแล้วว่าการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ก็คือ ยุทธศาสตร์ในการต่อต้านจีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางการทหารที่ยิ่งใหญ่ของโลกในปัจจุบันและเป็นพันธมิตรใกล้ชิดแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง
ดังนั้นในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนในประเทศไทย สหรัฐจึงได้ยื่นคำขาดต่อกลุ่มประเทศอาเซียนว่าต้องเลือกเอาข้างหนึ่ง คือจะเลือกเอาข้างจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ หรือว่าจะเลือกข้างสหรัฐ
และอาเซียนก็ได้มีมติร่วมกันว่า อาเซียนจะยังคงคบหาค้าขายทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น และกับรัสเซีย จีน ต่อไป นั่นหมายความว่าอาเซียนได้ปฏิเสธไม่ยอมเลือกจับมือกับสหรัฐเพียงข้างเดียว แต่ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนที่จะร่วมมือกับทุกค่ายทุกฝ่าย และเป็นที่แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นที่พอใจของสหรัฐแน่ คงเหลือแต่ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับกลุ่มอาเซียนและแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนในลักษณะทวิภาคี
ซึ่งขณะนี้ในบรรดาสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศนั้น แม้เคยมีมิตรไมตรีกับสหรัฐมาแต่ก่อน แต่มาถึงวันนี้สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละเรื่องแล้ว
เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ได้แสดงท่าทีและจุดยืนหนักแน่นหลายครั้งที่จะจับมือกับรัสเซียและจีน และไม่สนใจไยดีกับสหรัฐ
สำหรับฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งเคยถูกแบ่งแยกดินแดนออกเป็นประเทศติมอร์ตะวันออก และกำลังมีความพยายามที่จะแยกอาเจะห์ออกเป็นอีกประเทศหนึ่ง และเหตุการณ์กลุ่มไอซิสยึดเกาะมินดาเนาในฟิลิปปินส์เพื่อตั้งรัฐอิสลามไอซิสในอาเซียน ได้ทำให้ทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ต้องหันไปจับมือแน่นแฟ้นกับจีนและรัสเซีย แต่ในขณะเดียวกัน ก็พยายามรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐไว้
ส่วนเวียดนามนั้นเคยทำศึกสงครามกับสหรัฐและจีนมาก่อนและมีมิตรไมตรีอันแน่นแฟ้นกับรัสเซีย ดังนั้น เวียดนามจึงไม่มีทางทอดทิ้งประเทศใดประเทศหนึ่ง และจะยังคงดำรงความเป็นมิตรกับทุกประเทศเหล่านั้นต่อไป
สำหรับบรูไนเป็นประเทศเล็ก ไม่ต้องการเป็นฝักฝ่ายหรือเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ และไม่สนใจไยดี แต่มีท่าทีไปในทางเดียวกันกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน
จึงคงเหลือแต่ไทยและสิงคโปร์เท่านั้นที่มีมิตรไมตรีแน่นแฟ้นกับสหรัฐและญี่ปุ่น คงมีแต่ช่วงที่ คสช. ยึดอำนาจใหม่ๆ ที่ถูกต่อต้านกดดัน
อย่างเข้มข้นจากสหรัฐจึงได้หันไปปรับทุกข์ผูกมิตรกับจีน รัสเซีย อินเดียและอิหร่านมากขึ้น ก่อให้เกิดความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารอย่างคึกคัก
จนในที่สุดสหรัฐต้องเปลี่ยนนโยบายเพราะถ้าขืนกดดันประเทศไทยต่อไปก็เท่ากับผลักให้ไปอยู่กับฝ่ายรัสเซียและจีน ดังนั้น จึงทั้งสหรัฐและญี่ปุ่นได้โอ๋เอาอกเอาใจในทุกเรื่องราว รวมทั้งการยกเลิกเพิกถอนการกดดันและมาตรการต่างๆ ที่ใช้ในการกดดันในช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ
ทำให้ประเทศไทยหันกลับมาอี๋อ๋อห่อหมกกันดังเดิม แต่ที่เลยเถิดไปก็คือการปฏิเสธไม่ทำตามข้อตกลงระหว่างประเทศหลายกรณีที่ได้กระทำไว้กับจีน รัสเซีย อินเดีย และอิหร่าน จนเกิดความเสียหายใหญ่หลวงขึ้นในขณะนี้
ปรากฏการณ์เอียงข้างเช่นนี้เป็นการเดินไกลออกไปจากวิเทโศบายหลักของชาติที่ไม่เป็นศัตรูกับชาติใด และนี่ก็คือภยันตรายร้ายแรงที่กำลังเผชิญหน้าประเทศไทยทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ ด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี