คนจำพวกคลั่งเสรีภาพมักจะพล่ามเพ้อร้องหาเสรีภาพอย่างเพ้อเจ้อ โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ตนเองเรียกร้องหรือกระทำนั้น มันเข้าข่ายละเมิดเสรีภาพของคนอื่น แต่ที่น่ารังเกียจคือคนจำพวกนี้ชอบป่าวร้องก้องตะโกนว่าตนเองเป็นพวกเสรีนิยม เป็นผู้เชิดชูประชาธิปไตย เป็นคนหัวก้าวหน้า ทั้งๆ ที่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย
ยิ่งในยุคที่สังคมมนุษย์เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างที่คาดไม่ถึงเช่นปัจจุบันนี้ ก็จะมีคนจำพวกหนึ่งออกมาตะโกนร้องหาเสรีภาพกันอย่างน่าสมเพช แต่แท้ที่จริงแล้ว คนจำพวกนี้ก็เป็นเพียงนักสร้างภาพ เพราะหวังให้ตัวเองมีบทบาทโดดเด่นในสังคม แต่ทว่าเป็นสังคมเพ้อเจ้อเลื่อนลอย
นักสร้างภาพ หรืออาจจะเรียกว่าคนลวงโลกจำพวกนี้ มักจะแต่งแต้มและฉาบทาสีสันให้กับตัวเอง เพื่อตบตาคนที่รู้ไม่ทันว่า เขาคือคนที่รักเสรีภาพ รักความเป็นธรรม รักความเสมอภาค ศรัทธาในความยุติธรรม และเป็นคนหัวก้าวหน้า
หากใครก็ตามคิดไม่เหมือนเขา และคัดค้านการกระทำของพวกเขา นักสร้างภาพเหล่านั้นก็จะใช้วาทกรรมทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้ามว่าเป็นพวกเผด็จการ เป็นพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี เป็นพวกศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นพวกนิยมกษัตริย์ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม หรือเป็นพวกขวาตกขอบ
นักสร้างภาพจะโฆษณาชวนเชื่อว่าตนใจกว้าง ยอมรับความแตกต่างได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนจำพวกนี้ใจแคบมาก และยังหลงตัวเองว่าตนคือผู้ที่ถูกต้องที่สุดในโลก และเข้าใจว่าโลกจะแตกสลายไปในบัดดล ถ้าหากพวกของตนไม่สามารถรับบทบาทเป็นผู้ชี้นำสังคมได้ แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งแล้ว ก็จะพบว่า คนพรรค์อย่างนี้ก็เป็นแค่เพียงคนที่ต้องการขึ้นมามีอำนาจรัฐ แล้วหวังจะใช้อำนาจรัฐล้มล้างฝ่ายตรงข้ามกับตน แต่ครั้นเมื่อตนเองถูกฝั่งตรงข้ามที่มีอำนาจรัฐ ใช้อำนาจรัฐจัดการกับตนเอง พวกนักสร้างภาพก็จะแหกปากตะโกนว่า พวกของตนถูกลิดรอนสิทธิ์ ถูกคุกคาม ถูกทำร้าย ถูกปิดหูปิดตาและปิดปาก
ข้ออ้างของนักสร้างภาพคือพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้องของสังคม และเพื่ออิสรภาพ เสรีภาพของสาธารณชน แต่น่าสมเพชที่คนจำพวกนี้ไม่เคยคิดถึงกฎระเบียบของสังคม ไม่เคยคำนึงถึงความสงบสุขของสังคมส่วนรวม
นักสร้างภาพจอมลวงโลกชอบสร้างเรื่องโกหกประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มคนที่หูบอดตาบอด โดยนักสร้างภาพจะพูดเพียงด้านเดียวว่าประเทศไทยมีแต่ความเลวร้าย มีแต่ความตกต่ำ มีแต่อภิสิทธิ์ชน มีแต่พวกเจ้าขุนมูลนาย แต่พวกลวงโลกกลุ่มนี้ไม่เคยบอกความจริงว่า ในความเป็นจริงนั้นพวกเขาก็มาจากครอบครัวที่เอาเปรียบคนอื่นมาโดยตลอด เพราะเมื่อสืบค้นลึกลงไปจะพบว่าคนเหล่านี้มักมาจากครอบครัวนายทุน แม้ในช่วงเริ่มแรกนั้น บางคนอาจจะไม่ใช่นายทุนใหญ่ระดับโลก แต่ก็ยังมีลักษณะที่เห็นได้ชัดเจนว่าครอบครัวของเขามีความได้เปรียบเหนือกลุ่มแรงงาน และกลุ่มคนที่ด้อยกว่าในด้านเศรษฐฐานะ ซึ่งเรื่องนี้สามารถสืบค้นจนเป็นที่ประจักษ์ได้จากธุรกิจที่เริ่มต้นมาจากธุรกิจครอบครัว แล้วขยายตัวกลายเป็นธุรกิจในรูปแบบบริษัทข้ามชาติ ดังที่สังคมไทยประจักษ์ชัดจากธุรกิจครอบครัวของเจ้าของพรรคไทยรักไทย ซึ่งสุดท้ายแปรสภาพเป็นเพื่อไทย และที่ดูจะเข้าทำนองเดียวกันอีกพรรคหนึ่งก็คือ พรรคอนาคตใหม่
ด้วยความที่นักสร้างภาพต้องการให้ตัวเองเปลี่ยนสถานภาพเป็นผู้ครอบครองอำนาจรัฐ จึงใช้ฐานทุนที่ตนเองสะสมไว้ผลักดันให้ตนเองก้าวเข้าสู่เวทีแห่งอำนาจรัฐ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะการเข้าสู่อำนาจรัฐจำเป็นต้องใช้ทุน แต่สิ่งที่ทำให้วิญญูชนในสังคมไทยรู้สึกเกิดอาการคลื่นเหียนจนอยากจะอาเจียนก็คือ การได้ยินคำโกหกต่างๆ นานาของนักสร้างภาพที่อวดอ้างว่าจะเข้ามาทำให้สังคมไทยดีขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ทำให้คนทุกคนมีอิสรภาพโดยสมบูรณ์
แต่สำหรับคนที่มีปัญญาพอสมควร ไม่มีใครหลงเชื่อคำโกหกของนักสร้างภาพจำพวกนี้ ยกเว้นก็แค่เพียงคนที่สติปัญญาบกพร่อง หรือคนที่จงใจโกหกตัวเอง รวมถึงคนที่อยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝันตลอดเวลา เพราะในความเป็นจริงที่คนผู้มีสติปัญญาต่างตระหนักดีก็คือ จะเป็นไปได้อย่างไรที่นักสร้างภาพจะทำให้สังคมโดยรวมมีความเท่าเทียมกัน ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริงก็ปรากฏชัดว่าในการทำธุรกิจของนักสร้างภาพยังมีการเอารัดเอาเปรียบคนงานในโรงงานของเขาอยู่ตลอดเวลา แล้วก็เอาเปรียบมานานแล้ว
ขอย้ำว่าไม่ผิดที่นักสร้างภาพซึ่งมาจากตระกูลนักธุรกิจจะคิดเป็นใหญ่เป็นโตทางการเมือง เพราะเขามีสิทธิ์คิด และเขาก็มีสิทธิ์เป็น ถ้าหากเขาสามารถได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน แต่เป็นเรื่องผิดมหันต์ที่นักสร้างภาพพยายามโกหกคนไทย และโกหกคนในสังคมโลกว่า เขาเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ใสสะอาด และเป็นธรรม เพราะในความเป็นจริงแล้ว ปัญญาชนต่างรู้ดีว่านักสร้างภาพไม่มีปัญญาทำตามสิ่งที่เขาโกหกได้เป็นอันขาด แต่เขาต้องการเข้ามาสู่วงจรแห่งอำนาจ เพราะเขาต้องการใช้อำนาจรัฐเป็นฐานเพื่อล้มล้างสิ่งที่เขาตั้งใจจะล้มล้างมาโดยตลอด แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะใช้อำนาจรัฐเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง ซึ่งนี่ก็คือวิถีปกติธรรมดาของนักธุรกิจที่เห็นว่าอำนาจรัฐสามารถช่วยให้ตนเองมีความมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น เรื่องพรรค์นี้ปัญญาชนเห็นชัดมาแล้วจากกรณีของทักษิณ ชินวัตร และกำลังจะได้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในกรณีของ โดนัลด์ ทรัมป์
จุดขายประการสำคัญของนักสร้างภาพจอมลวงโลกคือ การอ้างด้วยข้อความเท็จตลอดเวลา จนเข้าขั้นเพ้อเพื่อทำให้ตนหลงเคลิ้มว่า ตัวเองคือผู้ที่มาจากประชาชน แต่กลับไม่ยอมรับว่าคนอื่นๆ เขาก็มาจากประชาชนเช่นกัน
เมื่อนักสร้างภาพพลาดหวังจากการเข้าไปมีสถานภาพเป็นผู้มีอำนาจรัฐ เพราะว่าตนเองมีความบกพร่องอันเนื่องมาจากการเป็นนักธุรกิจของตนเอง แล้วดันสะเพร่าเผอเรอลืมจัดการเรื่องหุ้นส่วนต่างๆ ของตน ครั้งเมื่อสาธารณชนจับได้ว่านักสร้างภาพยังเคลียร์เรื่องราวทางธุรกิจของตนไม่เสร็จเรียบร้อย นักสร้างภาพก็โกหกสังคมอีกว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง เพื่อสะกัดกั้นไม่ให้ตนเข้าไปทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงสังคมให้เกิดความเป็นธรรม เมื่อนักสร้างภาพเข้าไปเป็นผู้มีอำนาจรัฐไม่ได้ เขาก็จำต้องทุรนทุรายกระเสือกกระสนไปสร้างเรื่องโกหกต่อชาวโลก โดยเฉพาะกลุ่มชาวโลกที่รู้ไม่ทัน เรื่องที่นักสร้างภาพออกไปโกหกก็คือ การป้ายสีประเทศไทยว่าเป็นดินแดนน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง
ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่ว่านักสร้างภาพออกเดินสายโกหกประชาคมโลก เพราะเมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้ว ประชาคมโลกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญหรือให้ความสนใจกับนักสร้างภาพเลยแม้แต่น้อย แต่ปัญหาอยู่ตรงที่นักสร้างภาพเข้าใจเอาเองว่าตนเองคือคนสำคัญ เพราะหลงเงาของตน หลงคิดว่าตนเองเป็นที่สนอกสนใจของชาวโลก ส่วนการที่นักสร้างภาพทุรนทุรายไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนบางแห่งในประเทศตะวันตก ก็ไม่มีอะไรน่าวิตก เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากสื่อมวลชนระดับชาติของต่างประเทศเขาให้ความสนใจกับนักสร้างภาพ สื่อฯจะต้องเป็นฝ่ายมาขอสัมภาษณ์ และมาติดตามรายงานข่าว แต่การที่นักสร้างภาพวิ่งโร่ไปหาสื่อฯ ถึงที่ แล้วอ้างว่าสื่อฯ ให้ความสนใจนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ต้องบอกตรงๆ ว่าสิ้นคิด และไร้ความคิดเป็นที่สุด
นักสร้างภาพจึงเข้าใจผิด แล้วคิดเอาเองว่า ระฆังที่ดังได้โดยมีใครตีคือระฆังดี ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้น ระฆังต้องดังได้ต่อเมื่อถูกตีเท่านั้น ส่วนระฆังที่ดังขึ้นมาเองคือระฆังอัปรีย์ เป็นระฆังผี ระฆังชนิดนี้เป็นสิ่งกาลีโดยแท้
คนที่ตระเวนไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อด่าทอ ประณามประเทศชาติด้วยคำโกหกต่างๆ แถมยังมีอาการพล่าน ทุรนทุราย ผสมกับความอยากดัง จึงถือได้ว่าเป็นระฆังอัปรีย์โดยแท้
เมืองไทยมีคนจำพวกระฆังอัปรีย์อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าสมเพชอย่างที่สุด แต่เราก็คงห้ามระฆังอัปรีย์จำพวกนั้นมิได้ เพราะถึงแม้มันไม่ออกไปส่งเองที่นอกพระราชอาณาจักรไทย มันก็จ้องจะส่งเสียงเองตลอดเวลาในบ้านเมืองของมัน เพราะมันรู้ตัวว่ามันไม่มีใครให้ความสนใจ มันจึงต้องแผดเสียงเองอยู่ร่ำไป จะห้ามจะปรามมันอย่างไร มันก็ไม่ยอมฟัง เพราะมันคือระฆังอัปรีย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี