“ขายชาติ” เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ไม่ว่าจะกล่าวหาใครก็ตาม ที่จริงชาติเอาไปขายไม่ได้ แต่สามารถ “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านได้” กล่าวหาว่าใครคนใดคนหนึ่ง “ขายชาติ” จึงเป็นลักษณาการของการ “ด่าทอ” หรือ “ผรุสวาท” ให้สาแก่ใจ หมายประณามให้คนที่เอาใจออกห่างจากชาติบ้านเมือง ได้รับรู้ถึงการกระทำที่ “เลวทราม” ของตนเอง ไม่ได้แปลว่าคนผู้นั้นเอาชาติไปขายจริงๆ
ขณะนี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเดินสายไปยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพิ่งกลับมา กำลังถูกกล่าวหาว่าเป็น “คนขายชาติ”
19 กรกฎาคม 2562 นายธนาธร จึงรีบแถลงข่าวสรุปกิจกรรมการเยือนยุโรปเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่อง “ขายชาติ”
โดยนายธนาธร บอกว่า การเดินทางในครั้งนี้ มีกลุ่มคนที่สงสัยในการเดินทางไปมากมาย ตนเลยต้องการจะทำการชี้แจงให้ชัดเจน โดยการเดินทางไปครั้งนี้มีวัตถุประสงค์อยู่ 4 ข้อ
1.เพื่อต้องการสร้างเครือข่ายในต่างประเทศ เพื่อสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต
2.ไปเพื่อชี้แจงสถานการณ์การเมืองของประเทศไทย
3.ไปเพื่อศึกษาการเรียนรู้เชิงเศรษฐกิจ
และ 4.ไปดูการพัฒนาเมือง เพื่อที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยได้อย่างไรบ้าง
การเดินทางไปครั้งนี้ ไปพบกับองค์กรที่สนับสนุนประชาธิปไตยทั้งหมด 7 องค์กร พบระดับสูงทั้งหมด 4 ประเทศ ไปมาทั้งหมด 5 แห่ง ได้มีการไปบรรยายเวทีสาธารณะเกี่ยวกับทิศทางของพรรคอนาคตใหม่
จากการไปเยือนกลุ่มองค์กร หรือสื่อมวลชนทั่วโลก ทุกฝ่ายมีเสียงสะท้อนถึงความห่วงใยสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย คือ 1.อยากเห็นประเทศไทยกลับมาเป็นประชาธิปไตย และนับถือในหลักการสิทธิมนุษยชนสากล อยากเห็นประเทศไทยเป็นผู้ที่มีบทบาทผู้นำ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2.ไปเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของโลกมากขึ้น เพราะยุโรปในตอนนี้ต้องการมิตร ที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังได้ไปดูการพัฒนาเมือง สิ่งที่เห็นคือ มันมีการสะท้อนให้เห็นถึงความโปร่งใส และความจริงใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ส่วนตัวมองไม่เห็นถึงอุปสรรค ว่าทำไมประเทศไทยถึงจะพัฒนาก้าวหน้าให้เหมือนเมืองในต่างประเทศไม่ได้ พรรคอนาคตใหม่พร้อมที่จะพัฒนา
ขณะเดียวกัน ในการเดินทางครั้งนี้ก็มีกระแสข่าว และมีการกล่าวหา ว่า
1.โจมตีว่าตนพยายามหลบหนี ตนได้เคยชี้แจงไปตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ว่า ตนรู้ว่าประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ต่อสู้รู้ว่าต้องต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการ รู้ว่าจะต้องมีการเล่นงานด้วยคดีอย่างแน่นอน ตนยืนยัน ว่าตนและทีมงานทุกคน จะไม่มีการหลบหนีอย่างแน่นอน และพร้อมเผชิญกับคดีความต่างๆ
2.เรื่องการขายชาติ สำหรับพรรคอนาคตใหม่ ชาติ คือประชาชน ไม่ใช่รัฐบาล และไม่ใช่ความมั่นคงของ คสช. สิ่งที่ตนไปพบปะกับรัฐบาลต่างประเทศ มีการพูดคุยถึงสถานการณ์การเมืองไทย ว่าอยากให้กลับมาดีอีกครั้ง ส่วนคนที่กล่าวหาตนต่างหาก ที่รับใช้เผด็จการที่ทำลายและขายชาติ
ในส่วนของคสช.ถึงแม้จะสิ้นอายุขัย แต่เหมือนระบอบยังอยู่ นายธนาธรบอกว่า คสช.ในฐานะองค์กรถึงแม้จะมลายหายไป แต่ระบอบของ คสช. ยังอยู่ในรูปแบบรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตนเชื่อว่าการเดินทางไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยจะไม่มีทางเกิดขึ้น
ทั้งนี้ในส่วนที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา จะไปยื่นร้องเอาผิดที่ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ระบุอาจจะเป็นการกระทบต่อความมั่นคง นายธนาธรบอกว่า ตนมองว่ามันคนละเรื่องกัน ความมั่นคงรัฐบาลกับความมั่นคงของประเทศไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ตนเชื่อว่าประเทศไทยจะมั่นคงได้ ก็ต่อเมื่อกลับมาสู่ความเป็นประชาธิปไตย ส่วนตัวยืนยัน ว่าตนไม่มีเจตนาที่จะขายชาติ เพียงแค่ต้องการเดินทางไปชี้แจงสภาวะของการเมืองไทย ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่การขายชาติ
เหตุการณ์นี้ มีเรื่องให้พิจารณา วิเคราะห์ สังเคราะห์ กันอย่างมากมาย กล่าวคือ
1) ท่าทีและจุดยืนของนายธนาธร
นายธนาธรมีความเชื่อความเห็นเรื่อง “ประชาธิปไตย” ในแบบของเขา ที่เขามุ่งหมายอยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างที่เขาต้องการ และมีท่าทีปฏิเสธคำอธิบายประชาธิปไตยในแบบอื่นๆ ของคนอื่นๆ เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเห็นค้าน ไม่เห็นชอบ ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบใจ กับรูปแบบและวิธีการที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ในปัจจุบัน ยิ่งเมื่อเขามองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีการเขียนกติกาที่แฝงไว้ซึ่งการเอาเปรียบ ให้ฝ่าย คสช. ได้เปรียบ ได้สืบทอดอำนาจ ได้มี สว. ไว้ปิดกั้นการเป็นรัฐบาลของพรรคอื่นๆ ปิดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีสูตรคำนวณ สส. ที่พิสดารและไม่น่าจะใช่อย่างที่ควรจะเป็น เขาได้สะสม “ความไม่พอใจ/ไม่ชอบใจ”ไว้มากมาย และเมื่อระบายในประเทศ ก็ถูกตอบโต้ ตำหนิอยู่เสมอ คงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบกับตัวแทนต่างประเทศ และ “สื่อสาร” ในสิ่งที่เขาอยากสื่อ การณ์จึงออกมาดังที่ปรากฏเป็นข่าว ว่าเขาไปพบกับใครบ้าง และพูดจาอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากการพูดในประเทศไทย สิ่งที่ธนาธรไปพูดจึงไม่ค่อย “มีน้ำหนัก” หนักหนาสาหัสอะไร เป็นแค่ “อีเว้นท์เล็กๆ” ให้บรรดา “น้องฟ้า” และ “น้องส้ม (ขี้) ฉุน” ทั้งหลายได้ขนลุกเกรียว ว่าพ่อเรายิ่งใหญ่ สำคัญ กล้าหาญ และไม่หยุดนิ่ง เท่านั้นเอง โดยบุคคลที่ไปเจอ สำนักข่าวที่ไปคุย ก็มีทั้งสำคัญและไม่สำคัญต่อประเทศไทย
2) คำว่า “ชาติ” ของธนาธร
ธนาธรพูดชัดว่า ชาติ คือประชาชน ไม่ใช่รัฐบาล และไม่ใช่ความมั่นคงของ คสช. มองเผินๆ ก็พูดไม่ผิด แต่หากคิดให้ประณีตขึ้น ก็พบว่าไม่ถึงกับถูกต้อง
เราอาจไม่ชอบรัฐบาลนี้ ไม่ชอบวิธีการได้มาซึ่งอำนาจของรัฐบาลนี้ ที่เป็น “คู่ขัดแย้ง/ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง” ของเรา แต่การปฏิเสธความเป็น “ส่วนหนึ่งของชาติ” คงทำไม่ได้ ใช่ครับ รัฐบาลไม่ใช่ชาติ แต่รัฐบาลทำหน้าที่ในนาม “ประเทศชาติ” ความมั่นคงของรัฐบาล ก็กระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือของประเทศชาติด้วย แต่การเป็นรัฐหรือเป็นส่วนหนึ่งของชาติ ไม่ได้ทำให้รัฐบาลนี้ถูกต้อง ดีงาม เสียจนแตะต้องไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ทำได้ครับ แต่ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วย “ความจริง” และด้วย “ความระมัดระวัง” ว่าต้องมิให้ “ประชาชน” ซึ่งคุณบอกเองว่าหมายถึง “ชาติ” ต้องได้รับผลกระทบ
ยกตัวอย่างเช่น คุณรู้ว่า สหภาพยุโรปหรืออียู กำลังจะเจรจาข้อตกลงทางการค้า หรือ เอฟทีเอ กับประเทศไทย การไปให้ข้อมูลบางด้าน ที่หากมีจุดหมายเพื่อล้มข้อตกลงนั้น หรือทำให้อีกฝ่ายมีข้อได้เปรียบ มากดดัน ต่อรองข่มขู่ประเทศไทย ในการเจรจา และนำไปสู่ผลกระทบต่อประโยชน์ของ “ประชาชน” ที่คุณบอกว่าหมายถึงชาติ อันนี้ก็ไม่น่าจะดีหรือถูกต้อง จริงไหมครับ
3) ชาติถูกขายหรือไม่
ส่วนการไปให้สัมภาษณ์ ว่าบ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นแต่เพียงประชาธิปไตยที่มี คสช. ที่มาจากการเลือกตั้ง หรือจะประดิดประดอยถ้อยคำใดไปพูดก็ตาม เป็นเพียงผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือต่อประเทศไทย ซึ่ง “แก้ได้” สำหรับผม ไม่ใช่การ “ขายชาติ”
ประเทศไทยใครก็รัก แต่ต่างคนต่างรักด้วยเหตุผลและมุมมองที่ต่างกันไป ผมไม่คิดว่าธนาธรไม่รักประเทศไทย ผมว่า “อาการ” ที่เขาแสดงออกนั้น เขารักและอยากเห็นประเทศเป็นอย่างที่ใจเขาต้องการมากกว่า และธนาธรเป็นคนก้าวร้าว เป็นคนดื้อด้าน เป็นเผด็จการเล็กๆ ที่อยากให้เป็นอย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น ธนาธรจึงมัก “หักหาญ” กับทุกๆ เรื่องราว ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ และเดินหน้า “ชน” มากกว่าที่จะให้เวลาในการ “สร้างแนวร่วม” ขึ้นเปลี่ยนแปลง หรือเขาอาจจะมองว่า “ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง” ต้องแข็งกร้าว กร้าวแกร่งแบบนี้ก็ได้ เขาจึงเลือก “บุคลิกและท่าที” แบบนี้ ในการ “ชน” กับฝ่ายที่กุมอำนาจ และสร้างอำนาจใหม่ขึ้นมา “โยกคลอน” อำนาจเดิม คืออำนาจของ “ความอยากเปลี่ยนแปลง”
ธนาธรนั้น มี “ชุดความคิด” สำเร็จรูปของเขา ที่ไม่ว่าจะพูดในประเทศหรือต่างประเทศ ก็เป็นชุดความคิดเดิมๆ นั่นแหละ จึงไม่ได้น่ากลัวหรือน่าชังแต่ประการใด เพราะหากรัฐบาลสนใจที่จะ “แก้ไขข้อมูล” ด้วยอำนาจ ด้วยโครงข่ายความสัมพันธ์ และด้วย “ฐานะ” ของความเป็นรัฐบาล มันแก้ไขข้อมูลที่ธนาธรไปบอกกล่าว
ได้ไม่ยากเลย เพียงแต่รัฐก็ไม่เน้นเรื่องการ “หักล้างข้อมูล” ที่เป็นชุดความคิดสำเร็จรูปของธราธร แต่เลือกจะสร้างบรรยากาศแบบ “คนดี/คนร้าย” ให้เกิดขึ้นมากกว่า
จึงจะเห็นได้ว่า พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รีบออกมากล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และคณะ เดินสายพบปะกับนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ของสหภาพยุโรป ว่า น่าเป็นห่วงผลพวงที่จะเกิดขึ้นจากการเดินสายครั้งนี้ว่าจะส่งผลลบต่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ แม้จะอ้างว่า ไปแลกเปลี่ยนมุมมองด้านเศรษฐกิจการเมืองโลก และแสวงหาความร่วมมือในอนาคตระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (อียู)
“เรื่องนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทุ่มเทความพยายามอย่างรอบคอบในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ยึดถือหลักการ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ จนทำให้ต่างประเทศเข้าใจและยอมรับประเทศไทยมากขึ้น และมิตรประเทศรวมถึงอียู ก็มีท่าทีที่เป็นบวกต่อไทย
สังเกตได้จากการประชุมผู้นำ G20 ครั้งที่ผ่านมา ผู้นำรัฐบาลหลายประเทศแสดงความมั่นใจ ความกระตือรือร้นและพร้อมจะร่วมมือกับประเทศไทยในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุนบนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน การมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเท่าเทียมทุกอย่างกำลังก้าวหน้าไปด้วยดี ดังนั้น จึงอยากขอร้องว่า การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามอย่าใช้ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นเครื่องมือทางการเมือง” รองโฆษกรัฐบาล ระบุ
พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่ารัฐบาลนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในประเทศเราจะขัดแย้งกันยังไงก็ตาม แต่เมื่อไปอยู่ในสังคมโลก พล.อ.ประยุทธ์ ได้พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรักษาภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของประเทศ และปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอยู่เสมอ คำว่า “ความรอบคอบ” จึงถูกหยิบขึ้นมา “ขีดเส้นใต้” และส่งนัยต่อสิ่งที่ธนาธรทำ ไปในทำนองว่า ไม่ระมัดระวังและไม่รอบคอบ จนนำมาซึ่งการใช้คำของสื่อบางสำนักและโลกออนไลน์ว่า “ขายชาติ” หรือตระเวนขายชาติ ซึ่งความหมายที่แท้จริงคือ ไปให้ข้อมูลตามใจตัว จนปราศจากคิดให้รอบคอบถึงผลกระทบต่อประเทศนั่นเอง ธนาธรกลายเป็นคนร้าย พล.อ.ประยุทธ์ คือคนดี ทันที เมื่อฉายภาพนี้ออกมา
4) เสรีภาพกับความรัก
ผมเชื่อว่าธนาธรรักชาติ แต่รักในแบบของเขา ซึ่งมีทั้งคนรับได้และรับไม่ได้ มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่า ธนาธร “เล่นเกมเอาชนะ” มากเกินไป คสช. แพ้ได้ ประยุทธ์แพ้ได้ แต่ประเทศชาติแพ้ไม่ได้ จึงหวาดระแวงกังวลว่าสิ่งที่ธนาธรกับพวกเดินสายไปให้ข้อมูลนั้น “กระทบ” ต่อประเทศชาติด้วยไม่ใช่กระทบเฉพาะกับ คสช. หรือ พล.อ.ประยุทธ์
ใช่ สิ่งที่คุณทำนั้น เป็นเสรีภาพที่ทำได้ และบางแห่งเขาเจาะจงเชิญคุณไปให้ข้อมูล แต่มันอยู่ที่คุณว่า จะให้ข้อมูลแค่ไหน อย่างไร ที่ยัง “กัน” ประเทศชาติ ออกไปจากความขัดแย้ง
ส่วนความขัดแย้งที่มี ความไม่ถูกต้องหลายเรื่องที่ผมก็เห็นว่ามี และธนาธรก็พูดถูกในหลายๆ เรื่อง มันควรต้องมา “ชำระสะสาง” กันเองภายในประเทศ เหมือนเป็นเรื่อง “ในบ้าน” ที่ไม่ต้องเอาไป “ประจาน” หรือ “ใส่ไฟ” ให้คนในหมู่บ้านโลกได้โอกาสทับถม กดดัน ต่อรอง รังแก แทรกแซง กิจการภายในบ้านของเราหรือไม่
ในมุมธนาธร คงคิดเพียงแค่อยากให้ต่างชาติมาช่วย “เปลี่ยนแปลง” เพรียกหาแต่ความเปลี่ยนแปลง จนอาจมิได้คำนึงถึง “วิธีการ” และผลกระทบ
สำหรับผม ผมไม่รังเกียจสิ่งที่ธนาธรทำถึงขั้นชี้หน้าด่าว่าไอ้คนนี้มัน “ขายชาติ” ผมเห็นใจ เข้าใจ ว่าคุณธนาธรอึดอัดกับอะไรหลายๆ อย่างในประเทศ แต่ประเทศไม่ใช่ของเราคนเดียว เราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ที่อะไรๆ ก็ย่อมไม่ได้ดั่งใจเราครบทุกเรื่อง ซึ่งการประกาศตัวเป็นนักประชาธิปไตย ไยไม่เข้าใจหลักการนี้
ค่อยๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงไปครับ เลือกวิธี เลือกโอกาส เลือกสถานที่ให้รอบคอบขึ้น ลดความก้าวร้าวลง และหยิบยกเอาความทุกข์เอาปัญหาของประชาชนขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง ทุ่มเทสุดชีวิตจิตใจที่จะแก้ไขปัญหาของประชาชนก่อน อย่าหมกมุ่นกับปัญหาส่วนตัว หรือลัทธิอุดมการณ์ส่วนตัวจนคนรู้สึกว่า คุณไม่ได้เอาตัวเองมาสู่พื้นที่แห่งอำนาจเพื่อคนอื่นๆ แต่มาเพื่อ “บำบัดความต้องการ” ของตัวคุณเอง
ทุ่มทั้งชีวิตให้แก่ประชาชนครับ ในวันที่คุณชนะใจ ได้ใจ คุณอยากเห็นบ้านเมืองเป็นอย่างไร คุณบอกกับประชาชนเหล่านั้น ซึ่งผมไม่เชื่อว่า เขาจะไม่เห็นด้วยกับคุณ
วิธีที่เหมาะ ในเวลาที่เหมาะ หรือ “เหรียญทอง” ครับ...ธนาธร
แต่วิธีอะไรก็ได้ ตอนไหนก็ได้ตามใจกู เป็น “มวยวัด” ที่พ่ายเสมอครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี